Wednesday, 21 January 2015

เคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษ ให้ได้ผล ตอน 1

สวัสดีคร๊าาาาาาาาาาาาา ทุกคน ,,
ก่อนอื่นต้องขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ^/\^

ตอนนี้ ขอ เสนอ ตอน ,, เคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษยังไงให้ได้ผลค๊า

ทำไม ทำไมต้องแบ่งเป็น 2 ตอน ?
เพราะว่า เราคิดว่าการเรียนภาษาอังกฤษ มี 2 จุดประสงค์ด้วยกันค่ะคือ

1. การเรียนเพื่อเอาไปใช้ในชีวิตจริง
2. การเรียนเพื่อเอาไปสอบ

ตอนนี้ จะขอเริ่มต้นด้วย เรียนเพื่อเอาไปใช้ในชีวิตจริงก่อนแล้วกันนะคะ
เพราะว่าใกล้ตัวที่สุด

เริ่มเร้ย !

การเรียนภาษาอังกฤษ แบ่งออกเป็น 4 ทักษะ ใหญ่ๆ คือ ฟัง, พูด, อ่าน, เขียน
จริงอยู่ว่า พวกเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก ทำม๊ายยย ทำไม ยังพูดไม่ได้ ฟังไม่ทัน อ่านไม่คล่อง และเขียนไม่เป็น..

อาจจะเป็นเพราะว่า ตอนเราเรียนอยู่ที่ รร.นั้น เราค่อนข้างเน้นไปทางด้าน "เรียนไปสอบ" มากกว่าหน่ะสิ

เราขอเริ่มที่ทักษะแรกก่อนเลยค่ะ

" ฟัง "

การฟังนี่ เราคิดว่า เป็นเรื่องที่ฝึกง่ายที่สุด

การฟังเพลงอังกฤษ - แต่วิธี ก้อดีนะ เพียงแต่ว่า เราจะได้แค่คำศัพท์ พวก แสลง เยอะ แต่ครูเราไม่แนะนำนะ เพราะว่า เวลาที่เค้าเอาตัวหนังสือไปแต่งเป็นเพลง การออกเสียงมันจะไม่เหมือนเดิม แล้วรูปประโยคก็ไม่ไม่ได้เอามาใช้ในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่

เช่น เพลง All about that bass, no treble, treble
มันเป็นคำเปรียบเทียบ รูปร่างคน กับ โน๊ตดนตรีเฉยๆ
ว่า คนอวบๆอยู่ล่างเป็น bass ส่วน คนผอมจะอยู่สูงกว่าเป็น treble
ซึ่งงงงงง ในชีวิตจริง เค้าไม่พูดกัน,, ไรงี้

การฟังหนัง - วิธีนี้เราแนะนำมาก แรกๆใครยังไม่ชิน ให้เปิดเป็น subtitle ภาษาไทยไปก่อน
เพื่อดูบริบท ว่า สถานการณ์แบบนี้ จะใช้คำศัพท์แบบไหน ใช้ประโยคแบบไหน
ทำให้เราคุ้นเคยกับสำเนียง ของเจ้าของภาษาไปในตัว ค่อยๆ ซึมซับไปเรื่อยๆ ทำตัวตามสบาย

พอคุ้นเคยแล้ว ให้เรา เปิดเป็น subtitle เป็นภาษาอังกฤษ
อันนี้เราแนะนำว่า ต้องคุ้นเคยจริงๆนะ
ไม่งั้นจะทำให้หนังน่าเบื่อ ไม่สนุก ไม่เข้าใจ และทำให้เราไม่อยากเรียนรู้ก็เป็นได้
การเปิด subtitle เป็นภาษาอังกฤษ จะทำให้เราคุ้นเคยกับคำศัพท์มากขึ้น
และทำให้เรารู้จริงๆว่า ตกลงแล้วมันออกเสียงยังไง
ถ้าคำไหนสงสัยจริงๆ เราก็จะได้ไปเปิดดูคำแปล

แต่เราแนะนำว่า ไม่ต้องเปิดมันทุกตัวนะ
(ถ้าเปิดมันทุกตัวจะดูจบเมื่อไหร่ฟร่ะ)
ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ก็ไม่เป็นไร

แต่ ,, ถ้าเกิดว่า ไม่เข้าใจมันหมดทั้งเรื่องเรย แนะนำว่า ให้กลับไปเปิด subtitle เป็นภาษาไทยไปก่อน
แสดงว่าเรายังไม่พร้อม จะเปิดเป็นภาษาอังกฤษ

ฟังนั่นโน่นนี่ จิปาถะ ใน Youtube - ฟังมันไปเถอะค่ะ วันละนิดวันละหน่อย search สิ่งที่เราสนใจ
เช่น อย่าง จขบ ชอบ ดูเค้าทำอาหาร แทนที่เราจะค้นหาเป็นภาษาไทย เราก็พิมพ์ ภาษาอังกฤษซะ
เพราะเดี๋ยวนี้ รายการทำอาหารเยอะมากใน Youtube มันจะทำให้เราซึมซับ วิธีการพูด คำศัพท์ ไปในตัว

เช่น ในไข่ 2 ฟองลงในถ้วยนี้แล้วคนให้เข้ากัน
ถ้าให้แปลตรงๆจากคนไม่เคยฟัง เราอาจจะแปลว่า
put 2 eggs into this bowl and stir it together.

แต่พอเราฟังบ่อยๆ เราก็จะคุ้นๆว่าจิงๆแล้ว เค้าพูดกันว่า
to this bowl, I'm gonna add 2 eggs and give it a stir.

แต่ทั้งๆนี้ทั้งนั้น 2 ประโยคนี้มันก็ไม่ได้ต่างกันมาก เข้าใจเหมือนกัน
แต่ประโยค 2 จะดูแบบ เห้ยยย เกร๋ใกล้เคียงเจ้าของภาษากว่า
ฝึกทั้งทีเนอะ ฝึกให้มันถูกต้องไปเลย ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร

การดูไปฟังไปเนี่ย มันจะทำให้เราเห็นภาพ แล้วทำให้เราจำบริบทของภาษาง่ายขึ้น
คือ เราเดาได้ว่าคำศัพท์มันแปลว่าอะไร โดยที่ไม่ต้องเปิด dictionary

ฟังแบบนี้แหล่ะ ทุกวัน ฟังบ่อยๆ มีเวลาว่างก็ฟัง ไม่ว่างก็โหลดเก็บไว้ในมือถือแล้วฟัง
เชื่อเรา แล้วจะฟังดีขึ้นเรื่อยๆเอง =)

-----------------------------

" อ่าน "

คอนเซปเดิมป้ะ อยากได้อะไร ก็ฝึกอันนั้น
อ่านก็เหมือนกัน

แต่เราแนะนำว่า ให้อ่านสิ่งที่เราสนใจก่อน เริ่มจากง่ายๆ อย่างนิทานเด็ก
แล้วค่อยไป นวนิยายเด็ก แล้วค่อยเขยิบไปเรื่อยๆ
อย่าไปกระโจน ตู้มมมมมม ใส่สิ่งที่ยากๆ มันจะทำให้เราต้อแต้ใจได้ (อันนี้ จขบ เป็น คนอื่นเป็นป่าวไม่รู้ 555)
เพราะตอนแรก จขบ เลือกอ่านเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งลี้ลัพท์ทางศาสนาวิญญาณ ไรงี้
ง่อยค่ะ ง่อยมาก พังๆ กำลังใจระเบิดกระจัดกระจาย ไม่มีเหลือ
เรยคิดว่า เรามาเริ่มอะไรง่ายๆก่อนดีมั๊ย ,,

เราเรยหันมาเริ่มจาก นิทานเด็ก เราไปห้องสมุด ไปหานิทานเด็กมาอ่าน
เรารู้มันติ๊งต๊อง คือ มันติ๊งต๊องจริงๆ
แบบ สิ่งโตตัวใหญ่เดินมา เจอช้างสีเทาตัวใหญ่ เค้าคุยกัน เห้ !...
ฮืมมม แต่ต้องอดทนนะ โอเค๊

พอเราคุ้นเคยแล้วเริ่มคิดว่า เห้ย มันง่ายเกินไปล้ะให้ไปต่อที่
นวนิยาย เด็ก เช่น The hunger games, Harry potter ฯลฯ ที่เราสนใจ พอคุ้นแล้วค่อเขยิบขึ้นไปเรื่อยๆ

อย่างตอนนี้ จขบ กำลังเริ่ม อ่านหนังสือ นวนิยายของวัยรุ่นอยู่
ซึ่ง คำศัพท์ รูปประโยค มันก็จะยากขึ้น

หลังจากนั้น ก็ค่อยๆยากขึ้นเรื่อยๆ เป็น นวนิยายเด็กโต ผู้ใหญ่ หนังสือพิมพ์ บทความ

อ่านไปเถอะ อ่านน้อยอ่านมาก อ่านที่เราสนใจ ขอให้อ่านวันละนิดวันละหน่อย

เคล็ดลับค่ะ

" อย่า แปล มัน ทุก คำ " อย่าไปแปลมันค่ะ ปล่อยผ่านมันไปบ้าง ถ้าเราแปล ทุกคำที่เราไม่รู้
เราจะไม่มีทางอ่านจบ เราจะเบื่อ เราจะท้อ และอ่านไม่เข้าใจ

วิธีการอ่าน คือ อ่านเป็นประโยค อ่านให้เป็นก้อนๆไป ถ้าคำไหนที่เป็น key word แล้วเราไม่รุจริงๆ
ค่อยเปิด dictionary ที่เป็น "ภาษาอังกฤษ" แนะนำค่ะ จนกว่า จะ ไม่เข้าใจ๊ ไม่เข้าใจจริงๆ
ให้ dictionary ภาษาไทย เป็น ตัวเลือกสุดท้ายเถอะค่ะ

ทำไม ?

1. การแปลทุกคำ ไม่ได้ใช่ทำให้จำคำศัพท์ได้ และทำให้เรา "ไม่เข้าใจทั้งประโยค"
2. การแปลทุกคำ ทำให้น่าเบื่อ
3. ครูบอกว่าให้เราอ่านเป็น chunk (ชิ้นใหญ่ๆ) ทำให้เรา เข้าใจภาพรวมของประโยค
4. dictionary ภาษาอังกฤษ ทำให้เราแปลความหมาย ได้เข้าถึงประโยคภาษาอังกฤษมากกว่า
เพราะคำแต่ละคำในภาษาอังกฤษ มันแปลได้หลายความหมาย ขึ้นกับประโยค
หรือ คำที่แปลเป็นไทยแล้วคล้า่ยๆกัน แต่จริงๆแล้ว ใช้ต่างกัน

แต่ก็ไม่ต้องฝืนตัวเองมากเกินไป จนทำให้ไม่อยากเรียนรู้ภาษาอังกฤษนะ
เอาสบายๆ ไม่เข้าใจจริงๆ ค่อยเปิดเป็นภาษาไทย ก็ไม่เสียหายอะไร

การเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่า เรารู้คำศัพท์ มากน้อยแค่ไหนนะ
เราคิดว่า การอ่านที่ดีเนี่ย จริงๆแล้ว มันขึ้นกับว่า

"เราเข้าใจใจความสำคัญของเนื้อเรื่อง" หรือไม่มากกว่า

----------------------------------------

" พูด "

อันนี้เราคิดว่า เป็นทักษะที่ฝึกยากสักนิด สำหรับคนเรียนในไทย
เอาจริงๆ จะให้มานั่งจับกุ่มคุยกันเป็นภาษาอังกฤษทุกวันมันก็กะไร (แต่เอาจริงๆถ้าทำได้จะดีมาก)

คนไทยมีปัญหาค่ะ .. ไม่ได้มีปัญหาในการฝึกฝนนะ แต่มีปัญหากันเอง ..

มองกันเองว่า โชว์บ้าง กระแดะบ้าง ดัจริตบ้าง อันนี้ต้องยอมรับ.. หรือไม่จริง ?
ทำให้ คนเราไม่กล้าพูด ไม่กล้าฝึกฝน

ขอเริ่มอย่างแรกก่อนเรยถ้าจะฝึกพูด

" อย่ากลัว " พูดดดดดดดดดดด จงพูดดดดดดดดดดดด พูดไปเถอะค่ะ ผิดถูก พูดเลย
ขอแค่ให้ได้พูดออกไป grammar ไม่ต้องสนใจ อย่าไปคิดว่า คนอื่นจะคิดยังไง
ถ้าไม่ได้พูด ก็พูดไม่ได้

เคล็ดลับค่ะ
ให้พูดกับตัวเอง เช่น วันนี้จะทำอะไรบ้าง, กินอะไรดี, คิดไม่ออก ฯลฯ
บ่นกับตัวเอง เป็นภาษาอังกฤษซะ
ถ้าเจอฝรั่ง ให้วิ่งใส่ จะด้วยความหื่นส่วนตัว หรือหวังดีช่วยบอกทาง ก้อแล้วแต่
พูดกับตัวเองในกระจกก็ได้

ข้อดีค่ะ เราจะพูดได้มากขึ้น
ข้อเสียค่ะ เหมือนคนบ้า 5555 (แต่ได้ผลนะ !)

ซื้อหนังสือที่เป็นบทสนทนาภาษาอังกฤษมาฝึกพูด
ย้ำ ฝึกพูดนะ ไม่ใช่ซื้อมานั่งอ่านนะก้ะ อันนี้ใครๆก็ทำได้ แต่พูดไม่ได้เด้อ
แต่ก็เลือกหนังสือที่น่าเชื่อถือได้ด้วยนะ
เพราะ เราแอบเห็นหนังสือสอนภาษาอังกฤษบางเล่ม เหมือนไม่ตั้งใจทำเรย.. ยังสอนผิดๆถูกๆ

พูดตามหนัง หรือสิ่งที่เราฟัง หลายๆครั้ง ลอกเลียนแบบ ให้เหมือนที่สุดเท่าที่จะทำได้
อัดเสียงตัวเอง แล้วเปิดฟังเสียงตัวเองค่ะ
(เรารู้ว่ามันแปลกๆ เราก็ไม่ชอบฟังเสียงตัวเอง คือ ลองทำครั้งแรกแล้ว ขนลุกยันขนตูด เบ๊ปาก 10 ระดับ)
แต่วิธีนี้ได้ผลจริงๆ แล้วจะรู้ว่า เราพูดได้ใกล้เคียงหรือยัง
แล้วหลังจากนั้น สมองเราจะจำมันเข้าไปเอง

เหมือนกับคำว่า fuck you ทำไมรู้ ทำไมพูดกันได้คล่องเชียะ แหมะ..

" สำเนียง " ไม่จำเป็นต้องเป๊ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าต้องปล่อยจนเหมือนไม่พยายาม
หลายๆคนอาจจะคิดว่าสำเนียงเป็นสิ่งไม่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น อาจจะทำให้คนมองกระแดะ..

ก่อนอื่นให้ลองนึกภาพก่อนนะ ว่าเวลาฝรั่งพูดภาษาไทยแล้วถ้าเค้าไม่พยายามเลย เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง
คำบางคำก็ทำให้เพี้ยนไปเช่น สวย เป็น ซวย ,,

เหมือนกันค่ะ ถ้ายิ่งเป็นฝรั่ง ที่ไม่คุ้นเคยกับคนเอเชีย เค้าจะฟังไม่ออกเรย
เช่น เรื่องเพิ่งเกิดวันนี้เรย
จขบ ร้องเพลงค่ะ
take me to shirt... เพื่อนขำกระจายค่ะ เพราะออกเสียงคำว่า church ผิด..
หรือ ในกรณีที่ serious กว่านั้น
คนญี่ปุ่นค่ะ แทนที่จะพูดว่า Can I have a coke ? นางๆพูดกันเป็น Can I have a cock ?
ฮืมมมมม ,, เราเองก้อเป็น ผู้หญิงอ่านะ ก็ไม่รุจะให้นางยังไงดี .. เห้ย !

เพราะฉะนั้น ตอนนี้สำเนียงสำคัญ ยัง ?

แต่ถ้าใครฝึกแล้วรู้สึกอึดอัด ยังไม่ใช่ ไม่ต้องฝืนมาก เอาเท่าที่เราทำได้ แต่ก็ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย
จนเหมือนไม่ได้พยายามอะไร ไหนๆก็จะฝึกแล้ว ฝึกให้มันถูกต้องดีกว่าเนอะ

เคล็ดลับ
dictionary ที่พูดได้ ดีที่สุด ไม่แนะนำให้อ่านคำอ่าน ภาษาไทยค่ะ เพราะการอ่าน ไม่ได้ช่วยให้เราออกเสียงได้ถูกต้องเลย เช่น
teacher เราเรียนกันมาว่า ทีชเช้ออออออออออออออออร์
แต่จริงๆแล้ว ทีชเช่อะ..(เอาจริงๆภาษาเขียนตอนนี้ก็ยังไม่ใช่)
เพราะฉะนั้น ฟังเอา แล้วพูดตาม จะดีที่สุด

แต่ถ้าใครไม่มี ไม่ต้องซื้อ เดี๋ยวนี้ online dictionary มีเยอะแยะที่ให้กดฟัง
ฟังแล้วก็พูดตามดูเนอะ ไม่เสียหายอะไร

เรื่องการพูด ที่สำคัญอีกอย่างคือ "ทัศนคติ" ค่ะ
จงมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเองและการฝึกฝน
เปลี่ยนทันศนคติจาก "กระแดะจัง" มาเป็น "พูดชัดจัง" กันดีกว่า นะคะ !

---------------------------

" เขียน "

มาถึงทักษะสุดท้าย ที่ไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิตประจำวัน
ถ้าใครที่แบบ ไม่ได้ทำงานที่ต้องติดต่อสื่อสารโดยการเขียนจริงๆ อันนี้ก็ไม่จำเป็นต้องฝึกมาก

การเขียนสิ่งที่ยากคือ "กูไม่รู้ว่ากูเขียนถูกมั๊ย"

ใช่เรยค่ะ มันเรยกลายเป็นทักษะ ที่ฝึกกันลำบากที่สุด

โดยประสบการณ์ การเขียนต่างจากการพูดมาก
และถ้าใครเพิ่งเริ่มเขียน จะเริ่มเขียนแบบ "ภาษาพูด" ซะมากกว่า

แต่อันนี้ ถ้าใช้แค่สื่อสาร แบบ ธรรมดา ไม่ได้เอาไปใช้เรียนต่อ ก็เขียนไปเถอะ
เอาแค่ว่า เชคดูให้ดีว่า เราเรียงรูปประโยคถูกมั๊ย
อันนี้เราเขียนเป็นประโยคแล้วหรือยัง เช่น บางที จขบ เขียนประโยคนึง แล้วมันไม่มีคำ กริยาเลย
มันก็ไม่ใช่ประโยค อะไรงี้

เริ่มต้นที่เขียน diary เป็นภาษาอังกฤษ
วันนี้ไปเจออะไรมาบ้าง รู้สึกยังไงบ้าง อยากจะบอกอะไรกับตัวเองบ้าง
อยากเขียนอะไรก็เขียนว่างั้น

เช่น วันนี้เจอหมา แต่จะให้ดีก็ อธิบายเพิ่มไปก็ได้ว่า หมาลักษณะยังไง สองตา สีดำ ฯลฯ

แต่ถ้าต้องการเอาไปสื่อสาร อย่างเช่นจดหมาย
สิ่งที่สำคัญควบคู่ไปกับการเขียนให้ถูกต้องคือ "การเขียนให้สุภาพ"

จ่าหน้าซองยังไง ลงท้ายยังไง อันนี้เปิด internet เอาก็จะมี หรือถามผู้รู้

ถ้าอยากเช็ค grammar เดี๋ยวนี้ ตาม website บางอัน ก็มีให้เชค online ฟรีแล้วก็มี
ก็ไป search ดู แล้วก็ copy สิ่งที่เราเขียนลงไป แล้วมันก็จะตรวจให้เรา "คราวๆ"

แต่ electronic ก็ทำได้แต่เชค grammar อ่านะ เชคเนื้อหาที่เราเขียนว่าเราเขียนรู้เรื่องมั๊ย
ใช้คำศัพท์ ถูกต้องกับ บริบทหรือเปล่า มันเชคไม่ได้

เคล็ดลับ
อยากเขียนคล่อง ก็ต้องอ่านเยอะๆค่ะ มีแค่นี้จริงๆ
เพราะการอ่าน จะทำให้เราซึมซับ รูปประโยค คำศัพท์ การเรียงรูปประโยค

และให้จำไว้ว่า เราคือ writer ไม่ใช่ translator เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราเขียนออกมา
ถ้าไม่ใช่คนไทยให้คนไทยอ่านด้วยกันอาจจะไม่เข้าใจเลยก็ได้

เพราะจากประสบการณ์ ช่วงแรกๆที่ จขบ เขียนส่งครู
ครูบอกว่า ไม่เข้าใจที่เทอเขียนมาเลย ... ตึง ..
 และถ้าให้เราไปอ่านของคนจีนเขียน เราก็ไม่ใช่ใจมันเหมือนกัน ไรงี้
 
แต่ ! ไม่ต้องเสียใจ ทักษะนี้ฝึกกันยากจริง และถ้าไม่จำเป็นต้องใช้ในการเรียน
ก็ไม่ต้องไป ซีเรียสกับมันมาก เขียนเป็นภาษาพูดให้สุภาพ ก็พอ

--------------------------------

จบแล้บววววววววว กับ เคล็ดลับเบาๆ กับการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล
" ตอน เรียนเอาไปใช้ ในชีวิตประจำวัน "

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด
การเรียนภาษาอังกฤษ ให้ได้ผลต้องมี 2 สิ่ง ที่ขาดไม่ได้เลยคือ

1. " ใจ "
ใจต้องอยากเรียนรู้จริงๆ ไม่ใช่มาเหยาะๆแหยะๆ เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง
เพราะถ้าใจ เราไม่อยากเรียน ต่อให้เสียเงิน เป็นแสนเป็นล้าน ไปเรียนต่างประเทศ ก็ไม่ได้อะไร
จะไปลอง program ที่สถาบันชื่อดังที่มีพรีเซนต์เตอร์เป็นคนแลบลิ้นออกมาเป็นธงชาติอังกฤษ
มันก็ไม่ได้ผล ถ้าเราไม่ฝึกฝนเองด้วย ไม่ไปเรียนเองด้วย

ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับเราเอง ทำไม่ได้ อย่า blame คนอื่นเนอะ

2. " เวลา "
" No one can become a genius just overnight "
เวลาคือตัวแปรสำคัญของการเรียนภาษาค่ะ
เราไม่สามารถวัดได้ว่าเราเก่งขึ้นมากน้อยแค่ไหน
และเราไม่มีทางเก่งขึ้นแค่ข้ามคืนแน่ๆ

ของแบบนี้มันต้องใช้ เวลาฝึก แล้วค่อยซึมซับไปเรื่อยๆ
ลองนึกย้อนไป ตอนเราเกิดมาเราก็พูดไทยไม่ได้เลย
เราต้องฟัง หลังจากนั้นพูดตามมา แล้วเราค่อยมาอ่าน แล้วถึงจะเริ่มเรียนเขียน
เราต้องใช้เวลาเท่าไหร่กันเชียว กว่าจะมาถึงจุดๆนี้ได้

อย่าไปฝืนตัวเองมากจะเครียดแล้วท้อแท้
แต่ก็ไม่ใช่ปล่อยตัวตามสบายจนการฝึกฝนไม่ไปไหน

อยากพูดได้ อยากฟังได้ อยากอ่านได้ อยากเขียนได้
ก็ "อย่าท้อแท้" ,,

จขบ ไม่ได้เป็นคนเก่งมาก่อน (ตอนนี้ก็ไม่ได้เก่งอะไร)
ตอนเรียน ที่ รร. ก็เหมือนทุกคนแหล่ะ
เรียนเพื่อสอบ ไม่เคยจำ ไม่เคยใช้
แต่เนื่องจาก จขบ อยาก "ใช้ภาษาอังกฤษเป็น" 
ก็ฝึกมาเรื่อยๆ ถ้าเราทำได้ เราเชื่อว่าทุกคนก็ทำได้เหมือนกันค่ะ
ไม่ต้องเอาให้แบบ โห น้ำไหลไฟดับ พูดเสร็จคนยืนปรบมือ หรอก
เอาชีวิตรอด ทำงานได้ สื่อสารรู้เรื่อง แค่นั้นก็ ชมตัวเองได้แล้ว =)

เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ

จบแล้วจริงๆ สำหรับตอนนี้
ตอนหน้า เราจะเขียนเป็น เคล็ดลับในการใช้เพื่อเอาไปสอบเนอะ
เราจะมาแนะนำหนังสือ ดีดี, application ดีดี เคล็ดลับดีดี ที่เคยผ่านจากประสบการณ์มาแล้วกันเนอะ

สำหรับวันนี้ ,, เที่ยงคืนล้ะ

Have a nice day from Vancouver นะค๊า

Wednesday, 14 January 2015

มาเรียน "ภาษา" ที่ต่างประเทศ 2

กลับมาอัพเดทเรื่องราวการเรียนภาษาอังกฤษอีกครั้ง
หลังจากที่หายไปนานมากกกกกกกกกกกก,,

ความเดิมตอนที่แล้ว..
จขบ. ได้พูดถึงการเรียนภาษาที่ต่างประเทศ แบบไม่จริงจังเท่าไหร่

ภาคนี้ เราจะมาแนะนำการเรียนที่ "จริงจัง" สำหรับคนที่คิดว่า
เออ ไหนๆ มาเรียนภาษาแล้ว ก็อยากได้อะไรกลับไปแบบ จริงจัง บ้าง,,

3. Academic English

นี่เลยค่ะ ถ้าอยากจริงจัง โปรแกรมนี้เป็นการเรียนที่เป็นการเตรียมความพร้อมภาษาอังกฤษ
สำหรับเข้าไปเรียน high school, college, หรือ university ของที่นี่

เป็นการเรียนที่จริงจังมาก

ระยะเวลานี่ แล้วแต่ทาง โรงเรียนจะกำหนด
อย่าง รร.ที่ จขบ เรียนอยู่ จะแบ่งออกเป็น 6 level, level ละ 2 เดือน

เพราะฉะนั้น ทุกๆวันที่ไป โรงเรียน จะเป็นการเรียนและสอบ อย่างเข้มข้นยิ่งกว่า วีต้าเบอร์รี่
จขบ ขออนุญาติ พูดถึงเลเวลตั้งแต่ 4 ขึ้นไปนะ เพราะว่า ตอนเราสอบวัดระดับเราได้ เลเวล 4

Reading skill นี่สุดๆ ต้องฝึกอ่านให้เร็วมาก ต้องอ่านบทความเป็นร้อยๆหน้า
คำศัพท์นี่ไม่ต้องพูดถึง รู้คำแปลอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ให้เป็น
แล้วคำศัพท์ที่เป็นแนว academic มันไม่ใช่แบบแปบบตรงๆนะ

สมมติ คำว่า "เฉือดเฉื่อน" เราไม่สามารถพูดว่า วันนี้เราจะ เฉือดเฉื่อน ปลา ...
มันผิด !

อธิบายทำนองนี้พอนึกออกช่ายป่ะ ว่าการใช้คำศัพท์ให้เป็นประมานไหน

เพราะฉะนั้น การท่องศัพท์ เป็นนกแก้วนกขุนทอง ลืมไปได้เลย
จำได้แต่ใช้ไม่ได้ ก็เท่านั้น

ยัง ! ยังไม่หมด เราต้องรู้ด้วยว่า family ของคำศัพท์ มีกี่คำ
noun, adjective, adverb, verb เวลาเราเอาไปเติมในประโยค ก็ต้องเปลี่ยนให้มันเป็นรูปที่ถูกต้อง

เช่น เค้าคุยกันเฉื่อดเฉื่อนในห้องประชุม ผิด ! มันต้องเป็น เค้าคุยกัน อย่าง เฉือดเฉื่อนในห้องประชุม
ทำนองนั้น

และ คำบางคำมันก็จะมี preposition ที่ติดตามกันมา ก็ต้องใช้ให้ถูกอีก.. เช่น

consist with ผิด ! ต้องเป็น consist of..
มัน ยากมากกกก ! 

ถัดมาก็เป็น writing skill

อันนี้ไม่ต้องพูดถึง โดยส่วนตัว ก็ไม่เคยเขียนภาษาอังกฤษที่จริงจังขนาดนี้มาก่อน
ต้องมี citation ที่ถูกต้อง ไม่งั้นเค้าจะเรียนกว่า plagiarism ซึ่งที่นี่ ผิดกฏหมาย และจริงจังมาก

ใครเอาคำพูดใคร หรือบทความ หรือบรรทัดไหนอะไรใครมา แล้วไม่เปลี่ยนรูปประโยค, คำศัพท์
เขียนใหม่ให้เป็นของตัวเอง แล้ว ใส่ reference หล่ะก็ ... ตกจ้า ! เค้ารับมิล่าย

เพราะฉะนั้น คำศัพท์ก็ต้องรู้ให้มาก รู้อย่างเดียวไม่พอต้องใช้ให้ถูกด้วย เช่น

คำว่า induce เราใช้แทนคำพวก influence เลยไม่ได้
ต้องดูด้วยว่า รูปประโยคเป็นยังไง ใช้แทนกันได้มั๊ย เพราะ induce มันไม่ได้มีไว้ใช้กับคน
อะไรทำนองนั้นเป็นต้น

สมมติว่าเราเราจะเขียนคำว่า food ใน 500 words essay เราก็จะพูดแต่ food food food ซ้ำๆกัน
แบบนี้ก็ไม่ได้ ต้องหาคำคล้ายๆ มาใช้แทน เช่น cuisine หรือเจาะจงไปเลยว่าเป็นอาหารอะไร

ในเลเวล 6 เราต้องเขียน 1500 words essay ด้วยกัน.. ฮึ่มม ,, เหมือนน้อยนะ นี่ใช้เวลา 1 เดือนกันเรยทีเดียว เราไหนจะ citation ตัวอย่างเอย grammar เอย คำศัพท์เอย

คำกำกวมก็ใช้ไม่ได้นะ เช่น

get คำนี้ ครูไม่ให้ใช้เลย เพราะมันแปลได้หลายความหมาย ไม่เอา ให้เจาะจงเลยว่าเรา get ยังไง

เช่น I got an Iphone 6. ครูบอกว่ามัน got ได้หลายทาง ซึ้อมาหรอ ? ขโมยมา ? หรือใครให้มา
เจาะจงไปเรย ห้ามมีคำนี้ใน essay..

อะไรทำนองนั้น

พวกสรรพนามเช่น he, she, it, they ก็ต้องใช้อย่างระวัง

คือพวกเราถูกสอนให้ ใช้คำพวกนี้แทนคำนามที่กล่าวถึงไปแล้วใช่ป้ะ..
แต่จริงๆแล้ว ในการเขียน ถ้าเรากล่าวถึงหลายๆอย่าง เราจะเขียนผิดทันที
เพราะเค้าไม่รุว่าเราใช้แทน สรรพนามตัวไหน

เช่น

Jim gave Tom an Iphone. He was so happy. คือ มันไม่ชัดเจน he นี่ใคร ! ใคร happy..

ที่เค้าต้องฝึกเราให้ได้ เพราะเวลาเราไปเรียนที่ รร.จริงๆแล้วเราต้องเขียนสื่อสารให้ professor เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ต้องเขียนให้ได้ ใช้ journal ให้เป็น ทำ reference ให้เป็น

ต่อมาเป็น speaking skill

เค้าก็จะให้เราฝึกออกไปทำคำถามสำรวจความคิดเห็น ทำสถิติ แล้วมาพรีเซ้นต์
ต่อมาก็ฝึก debate แบบ สุภาพ ให้เป็น ฝึกใช้ ข้อมูลที่หามา และฝึกใช้ประโยคที่ควรจะพูดให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด

ตอน level 5 จำได้ว่า เค้าจะให้เราไปฟังหนังสือนิทาน ในยูทูป แล้วอ่านตาม อัดเสียง ฝึกพูดแล้วส่งเป็นการบ้านไป

ส่วนใหญ่แล้วเค้าจะฝึกให้เรา พรีเซ้นต์ให้เป็น ฝึกพูดให้รู้เรื่อง แล้วก็ฝึก debate

อันนี้ จขบ ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ ไม่ค่อยกลัวการพรีเซนต์ เป็นคนพูดมากอยู่แล้ว 555

สุดท้าย listening skill

อันนี้ก็เป็นอีกอันที่ปรับตัวค่อนข้างมาก

ถ้าใครสนใจเรียนภาษาอังกฤษน่าจะรู้จัก TED talk คือ จะฟังประมานนั้น
แล้วเค้าก็จะ blank ให้เราเติมคำ

ต่อมาเค้าจะให้เราฝึก take note เราต้อง take note ให้ได้แล้วก็ทำสรุปว่าฟังได้อะไรบ้าง
ต้องเอา note เรามาใช้ในการตอบคำถามในขั้นต่อไปให้ได้

แล้วแต่ละครั้ง มันก็จะ เร็วขึ้น และนานขึ้นเรื่อยๆ

จำได้ว่า ข้อสอบครั้งสุดท้ายคือเรื่อง history และ ความยาว 1 ชม. ...

กรี๊ดดดดดดดดดดดดด .. คือ ทำไมต้อง history ชั้นไม่ถนัดมาก แต่ก้อผ่านมาได้ เห้ !

อันนี้เป็นคร่าวๆของการเรียนภาษาอังกฤษแบบจริงจังแนว academic English.

แต่รับรองว่า มันพัฒนาจริงๆ คือ มันจำเป็นต้องพัฒนาหน่ะ.. 555

----------------------------

ต่อมาเป็นการเขียไปเรียนใน college หรือ university

อันนี้ก็ได้ภาษาจริง .. ถ้าไมไ่ด้คงจบไม่ได้อะนะ

คือก่อนจะเข้าไปเรียนใน college หรือ university ได้ ก็ต้องผ่านด่านอย่าง academic English มาก่อน
หรือไม่ก็ต้องผ่าน IELTS  6.0 ขึ้นไป แล้วแต่ รร. เค้าตั้งกฏไว้เท่าไหร่
แต่ถ้าสอบไม่ผ่านสักที ไม่เป็นไร ให้เราไปลงเป็น academic English ของ โรงเรียนนั้นๆไปเลย
แค่เรียนให้ถึงจุดที่เค้าต้องการ ก็จะได้เข้าไปเรียน ตาม program ที่เราต้องการ

แต่เข้าไปแล้วเชื่อได้เลยว่า ยังไงภาษาก้อพัฒนาอีก (ถ้าไม่ติดว่าเอาแต่อยู่กับคนชาติเดียวกันมากเกินไปนะ) อ่ะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องอ่านคล่องเวอร์
เพราะว่าที่นี่อ่าน text book กัน เป็น สิบๆเล่มเรยค่ะ วันนี้ก็ต้องเป็น ร้อยๆหน้า

ส่วนการฟังนี่ก็ต้องเก่งขึ้นอยู่แล้ว เพราะอย่างน้อยๆก็ต้องฟังครูสอนทุกวัน

ส่วน เขียนได้ยินมาว่า เค้าเขียนกันเป็น พัน สองพัน สามพัน สี่พัน เวิด อันนี้ก็แล้วแต่กันไป

การพูดเราไม่แน่ใจ เพราะจริงๆแล้วการพูดนี่เรียนได้รอบตัวอยู่แล้ว ขอแค่พยายามพูด คุย กับคนหลายๆคน (กับ native speaker) เราก็จะได้มาเอง แต่อย่าง รร. ที่ จขบ เรียนอยู่ เค้าจะเน้น การทำงานเป็นกลุ่ม เพราะฉะนั้น ยังไงก็ต้องพูด เพราะเราคงไม่สามารถนั่งทื่อ มันได้ทุกๆ assignment หรอกนะ,,

----------------------------------------

จบแล้ว กับภาค การเรียนภาษาจริงจัง

รับรอง ถ้าเกิดว่าอยากกลับไปแบบ ภาษาแน่นๆหน่อย ก็แนะนำ 2 โปรแกรมนี้ล้ะกันเนอะ

แต่ถ้าสมมติว่า ใครแค่หาข้อมูล ยังไม่รู้ว่าเราจะจริงจังขนาดไหน
ก็แนะนำให้ไปลงเป็น ESL ก่อน ดูว่า เราโอเคมั๊ย ไหวมั๊ย พร้อมยัง กับการต้องเข้าไปเรียนจริงจัง
มันพอกับความคาดหวังของตัวเองก่อนมาหรือเปล่า ทำนองนี้

ถ้า ESL ยังไม่ตอบโจทย์ ยังได้ไม่มากพอ ก็แนะนำค่อยเลื่อนขั้นเป็นพวก academic English หรือเข้าไปเรียนใน college, university แทน

แต่ถ้า ชิลๆเรียนไปเที่ยวไป ไม่ได้คาดหวังอะไร ESL ก็ ตอบโจทย์แน่นอน
เรียนสนุก เที่ยวสนุก (ต้องมีเงินเที่ยวด้วยนะ 55)

ทั้งหมดก็มาเท่านี้ สำหรับภาคการเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศ

หวังว่ามันคงจะช่วยให้เข้าใจกับการ บินไปไกลๆ เพื่อภาษาเนอะ
และก็จะได้ตั้งความคาดหวังกันถูกกว่า จะได้อะไรกลับไปยังไงเท่าไหร่ เนอะ,,

เจอกันบทหน้า เขียนอะไรดีหล่ะ ? =)

14 มกราคม 2558
จาก เมือง Vancouver,,