Wednesday 14 January 2015

มาเรียน "ภาษา" ที่ต่างประเทศ 2

กลับมาอัพเดทเรื่องราวการเรียนภาษาอังกฤษอีกครั้ง
หลังจากที่หายไปนานมากกกกกกกกกกกก,,

ความเดิมตอนที่แล้ว..
จขบ. ได้พูดถึงการเรียนภาษาที่ต่างประเทศ แบบไม่จริงจังเท่าไหร่

ภาคนี้ เราจะมาแนะนำการเรียนที่ "จริงจัง" สำหรับคนที่คิดว่า
เออ ไหนๆ มาเรียนภาษาแล้ว ก็อยากได้อะไรกลับไปแบบ จริงจัง บ้าง,,

3. Academic English

นี่เลยค่ะ ถ้าอยากจริงจัง โปรแกรมนี้เป็นการเรียนที่เป็นการเตรียมความพร้อมภาษาอังกฤษ
สำหรับเข้าไปเรียน high school, college, หรือ university ของที่นี่

เป็นการเรียนที่จริงจังมาก

ระยะเวลานี่ แล้วแต่ทาง โรงเรียนจะกำหนด
อย่าง รร.ที่ จขบ เรียนอยู่ จะแบ่งออกเป็น 6 level, level ละ 2 เดือน

เพราะฉะนั้น ทุกๆวันที่ไป โรงเรียน จะเป็นการเรียนและสอบ อย่างเข้มข้นยิ่งกว่า วีต้าเบอร์รี่
จขบ ขออนุญาติ พูดถึงเลเวลตั้งแต่ 4 ขึ้นไปนะ เพราะว่า ตอนเราสอบวัดระดับเราได้ เลเวล 4

Reading skill นี่สุดๆ ต้องฝึกอ่านให้เร็วมาก ต้องอ่านบทความเป็นร้อยๆหน้า
คำศัพท์นี่ไม่ต้องพูดถึง รู้คำแปลอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ให้เป็น
แล้วคำศัพท์ที่เป็นแนว academic มันไม่ใช่แบบแปบบตรงๆนะ

สมมติ คำว่า "เฉือดเฉื่อน" เราไม่สามารถพูดว่า วันนี้เราจะ เฉือดเฉื่อน ปลา ...
มันผิด !

อธิบายทำนองนี้พอนึกออกช่ายป่ะ ว่าการใช้คำศัพท์ให้เป็นประมานไหน

เพราะฉะนั้น การท่องศัพท์ เป็นนกแก้วนกขุนทอง ลืมไปได้เลย
จำได้แต่ใช้ไม่ได้ ก็เท่านั้น

ยัง ! ยังไม่หมด เราต้องรู้ด้วยว่า family ของคำศัพท์ มีกี่คำ
noun, adjective, adverb, verb เวลาเราเอาไปเติมในประโยค ก็ต้องเปลี่ยนให้มันเป็นรูปที่ถูกต้อง

เช่น เค้าคุยกันเฉื่อดเฉื่อนในห้องประชุม ผิด ! มันต้องเป็น เค้าคุยกัน อย่าง เฉือดเฉื่อนในห้องประชุม
ทำนองนั้น

และ คำบางคำมันก็จะมี preposition ที่ติดตามกันมา ก็ต้องใช้ให้ถูกอีก.. เช่น

consist with ผิด ! ต้องเป็น consist of..
มัน ยากมากกกก ! 

ถัดมาก็เป็น writing skill

อันนี้ไม่ต้องพูดถึง โดยส่วนตัว ก็ไม่เคยเขียนภาษาอังกฤษที่จริงจังขนาดนี้มาก่อน
ต้องมี citation ที่ถูกต้อง ไม่งั้นเค้าจะเรียนกว่า plagiarism ซึ่งที่นี่ ผิดกฏหมาย และจริงจังมาก

ใครเอาคำพูดใคร หรือบทความ หรือบรรทัดไหนอะไรใครมา แล้วไม่เปลี่ยนรูปประโยค, คำศัพท์
เขียนใหม่ให้เป็นของตัวเอง แล้ว ใส่ reference หล่ะก็ ... ตกจ้า ! เค้ารับมิล่าย

เพราะฉะนั้น คำศัพท์ก็ต้องรู้ให้มาก รู้อย่างเดียวไม่พอต้องใช้ให้ถูกด้วย เช่น

คำว่า induce เราใช้แทนคำพวก influence เลยไม่ได้
ต้องดูด้วยว่า รูปประโยคเป็นยังไง ใช้แทนกันได้มั๊ย เพราะ induce มันไม่ได้มีไว้ใช้กับคน
อะไรทำนองนั้นเป็นต้น

สมมติว่าเราเราจะเขียนคำว่า food ใน 500 words essay เราก็จะพูดแต่ food food food ซ้ำๆกัน
แบบนี้ก็ไม่ได้ ต้องหาคำคล้ายๆ มาใช้แทน เช่น cuisine หรือเจาะจงไปเลยว่าเป็นอาหารอะไร

ในเลเวล 6 เราต้องเขียน 1500 words essay ด้วยกัน.. ฮึ่มม ,, เหมือนน้อยนะ นี่ใช้เวลา 1 เดือนกันเรยทีเดียว เราไหนจะ citation ตัวอย่างเอย grammar เอย คำศัพท์เอย

คำกำกวมก็ใช้ไม่ได้นะ เช่น

get คำนี้ ครูไม่ให้ใช้เลย เพราะมันแปลได้หลายความหมาย ไม่เอา ให้เจาะจงเลยว่าเรา get ยังไง

เช่น I got an Iphone 6. ครูบอกว่ามัน got ได้หลายทาง ซึ้อมาหรอ ? ขโมยมา ? หรือใครให้มา
เจาะจงไปเรย ห้ามมีคำนี้ใน essay..

อะไรทำนองนั้น

พวกสรรพนามเช่น he, she, it, they ก็ต้องใช้อย่างระวัง

คือพวกเราถูกสอนให้ ใช้คำพวกนี้แทนคำนามที่กล่าวถึงไปแล้วใช่ป้ะ..
แต่จริงๆแล้ว ในการเขียน ถ้าเรากล่าวถึงหลายๆอย่าง เราจะเขียนผิดทันที
เพราะเค้าไม่รุว่าเราใช้แทน สรรพนามตัวไหน

เช่น

Jim gave Tom an Iphone. He was so happy. คือ มันไม่ชัดเจน he นี่ใคร ! ใคร happy..

ที่เค้าต้องฝึกเราให้ได้ เพราะเวลาเราไปเรียนที่ รร.จริงๆแล้วเราต้องเขียนสื่อสารให้ professor เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ต้องเขียนให้ได้ ใช้ journal ให้เป็น ทำ reference ให้เป็น

ต่อมาเป็น speaking skill

เค้าก็จะให้เราฝึกออกไปทำคำถามสำรวจความคิดเห็น ทำสถิติ แล้วมาพรีเซ้นต์
ต่อมาก็ฝึก debate แบบ สุภาพ ให้เป็น ฝึกใช้ ข้อมูลที่หามา และฝึกใช้ประโยคที่ควรจะพูดให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด

ตอน level 5 จำได้ว่า เค้าจะให้เราไปฟังหนังสือนิทาน ในยูทูป แล้วอ่านตาม อัดเสียง ฝึกพูดแล้วส่งเป็นการบ้านไป

ส่วนใหญ่แล้วเค้าจะฝึกให้เรา พรีเซ้นต์ให้เป็น ฝึกพูดให้รู้เรื่อง แล้วก็ฝึก debate

อันนี้ จขบ ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ ไม่ค่อยกลัวการพรีเซนต์ เป็นคนพูดมากอยู่แล้ว 555

สุดท้าย listening skill

อันนี้ก็เป็นอีกอันที่ปรับตัวค่อนข้างมาก

ถ้าใครสนใจเรียนภาษาอังกฤษน่าจะรู้จัก TED talk คือ จะฟังประมานนั้น
แล้วเค้าก็จะ blank ให้เราเติมคำ

ต่อมาเค้าจะให้เราฝึก take note เราต้อง take note ให้ได้แล้วก็ทำสรุปว่าฟังได้อะไรบ้าง
ต้องเอา note เรามาใช้ในการตอบคำถามในขั้นต่อไปให้ได้

แล้วแต่ละครั้ง มันก็จะ เร็วขึ้น และนานขึ้นเรื่อยๆ

จำได้ว่า ข้อสอบครั้งสุดท้ายคือเรื่อง history และ ความยาว 1 ชม. ...

กรี๊ดดดดดดดดดดดดด .. คือ ทำไมต้อง history ชั้นไม่ถนัดมาก แต่ก้อผ่านมาได้ เห้ !

อันนี้เป็นคร่าวๆของการเรียนภาษาอังกฤษแบบจริงจังแนว academic English.

แต่รับรองว่า มันพัฒนาจริงๆ คือ มันจำเป็นต้องพัฒนาหน่ะ.. 555

----------------------------

ต่อมาเป็นการเขียไปเรียนใน college หรือ university

อันนี้ก็ได้ภาษาจริง .. ถ้าไมไ่ด้คงจบไม่ได้อะนะ

คือก่อนจะเข้าไปเรียนใน college หรือ university ได้ ก็ต้องผ่านด่านอย่าง academic English มาก่อน
หรือไม่ก็ต้องผ่าน IELTS  6.0 ขึ้นไป แล้วแต่ รร. เค้าตั้งกฏไว้เท่าไหร่
แต่ถ้าสอบไม่ผ่านสักที ไม่เป็นไร ให้เราไปลงเป็น academic English ของ โรงเรียนนั้นๆไปเลย
แค่เรียนให้ถึงจุดที่เค้าต้องการ ก็จะได้เข้าไปเรียน ตาม program ที่เราต้องการ

แต่เข้าไปแล้วเชื่อได้เลยว่า ยังไงภาษาก้อพัฒนาอีก (ถ้าไม่ติดว่าเอาแต่อยู่กับคนชาติเดียวกันมากเกินไปนะ) อ่ะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องอ่านคล่องเวอร์
เพราะว่าที่นี่อ่าน text book กัน เป็น สิบๆเล่มเรยค่ะ วันนี้ก็ต้องเป็น ร้อยๆหน้า

ส่วนการฟังนี่ก็ต้องเก่งขึ้นอยู่แล้ว เพราะอย่างน้อยๆก็ต้องฟังครูสอนทุกวัน

ส่วน เขียนได้ยินมาว่า เค้าเขียนกันเป็น พัน สองพัน สามพัน สี่พัน เวิด อันนี้ก็แล้วแต่กันไป

การพูดเราไม่แน่ใจ เพราะจริงๆแล้วการพูดนี่เรียนได้รอบตัวอยู่แล้ว ขอแค่พยายามพูด คุย กับคนหลายๆคน (กับ native speaker) เราก็จะได้มาเอง แต่อย่าง รร. ที่ จขบ เรียนอยู่ เค้าจะเน้น การทำงานเป็นกลุ่ม เพราะฉะนั้น ยังไงก็ต้องพูด เพราะเราคงไม่สามารถนั่งทื่อ มันได้ทุกๆ assignment หรอกนะ,,

----------------------------------------

จบแล้ว กับภาค การเรียนภาษาจริงจัง

รับรอง ถ้าเกิดว่าอยากกลับไปแบบ ภาษาแน่นๆหน่อย ก็แนะนำ 2 โปรแกรมนี้ล้ะกันเนอะ

แต่ถ้าสมมติว่า ใครแค่หาข้อมูล ยังไม่รู้ว่าเราจะจริงจังขนาดไหน
ก็แนะนำให้ไปลงเป็น ESL ก่อน ดูว่า เราโอเคมั๊ย ไหวมั๊ย พร้อมยัง กับการต้องเข้าไปเรียนจริงจัง
มันพอกับความคาดหวังของตัวเองก่อนมาหรือเปล่า ทำนองนี้

ถ้า ESL ยังไม่ตอบโจทย์ ยังได้ไม่มากพอ ก็แนะนำค่อยเลื่อนขั้นเป็นพวก academic English หรือเข้าไปเรียนใน college, university แทน

แต่ถ้า ชิลๆเรียนไปเที่ยวไป ไม่ได้คาดหวังอะไร ESL ก็ ตอบโจทย์แน่นอน
เรียนสนุก เที่ยวสนุก (ต้องมีเงินเที่ยวด้วยนะ 55)

ทั้งหมดก็มาเท่านี้ สำหรับภาคการเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศ

หวังว่ามันคงจะช่วยให้เข้าใจกับการ บินไปไกลๆ เพื่อภาษาเนอะ
และก็จะได้ตั้งความคาดหวังกันถูกกว่า จะได้อะไรกลับไปยังไงเท่าไหร่ เนอะ,,

เจอกันบทหน้า เขียนอะไรดีหล่ะ ? =)

14 มกราคม 2558
จาก เมือง Vancouver,,

No comments:

Post a Comment