Thursday, 25 September 2014

ประสบการณ์ "ครั้งแรก" กับการโดนชี้หน้าด่าว่า F*ck you...

ตอนแรกกะว่า มีเวลาจะมีเขียนตอนต่อไปของการเรียนภาษาอังกิดที่ ตปท.
แต่วันนี้ เปลี่ยนใหม่เป็นเขียนเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอมาแทน (ไม่มีเวลากูก้อจะเขียน 5555)

ท้าวความ (เขียนงี้ป่าวว้ะ),,

จขบ (เจ้าของบล๊อก) ปกติทำงานอยู่ร้านกาแฟชื่อดังในแคนาดา
เป็นออกแนว fast food
หลักๆก็ มีกาแฟ มีแซนวิช มีเบเกิ้ล มีซุป มีมัฟฟิน และมีโดนัท

วันนี้ก็เป็นวันทำงานปกติ และเช่นเคย มีเป็นช่วงเวลาเร่งรีบ
เพราะตัวตึก เป็นตึกเดียวกันกับ college ชื่อดังในแคนาดา
เพราะฉะนั้น คนก็จะมีต่อคิวกัน ซื้อกาแฟซื้อของกินตามประสาคนไปเรียน (Part-time)
บวกกับ สาขาเจ๊หน่ะ ลูกค้าต่างชาติเยอะ เพราะว่ามันติดสถานีรถไฟฟ้า สถานีชื่อดังย่านในดาวทาวน์

ตอนนั้นมีคนทำงานประมาน 6 คนได้ แต่มันมี cashier อยู่ 3 Cashiers
หลักการทำงาน ก็จะประมานนี้
มี 1 คนอยู่ตำแหน่ง soup and sandwich ก็ชัดเจน รับ order แล้วก็ทำเสริฟ
มี 2 คนอยู่ cashier มีหน้าที่ รับ order เก็บเงิน ถ้าไม่มี runner ช่วงนั้นก็ เป็นคนเสริฟในคนๆเดียวกัน
มี 1 คน เป็น runner ซึ่งก็ทำหน้าที่ เสริฟกาแฟ หยิบขนม ช่วย cashier
มี 1 คน เป็น supervisor ทำทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่หน้าที่หลักๆคือ baker ข้างหลังร้าน

เนื่องจากว่า จขบ ทำงานมาได้สักพัก (ใหญ่ๆ) ทำงานค่อนข้างคล่องตัวแล้ว เรยสามารถ stand by
เป็นทั้ง cashier และ runner ในคนเดียวได้ เลยเป็น independent ครองอยู่ 2 cashiers
เพราะว่า บางครั้ง ลูกค้าจ่ายเงินช้า หรือยืนเก็บของนาน เราก็จะย้าย ไปย้ายมา เพื่อจะได้ เสริฟลูกค้าคนอื่นๆเร็วขึ้น

เรื่องมีอยู่ว่า,,

มีลูกค้าชายเดี่ยว อายุมากกว่า 60+ เป็นคนจีน พูดภาษาอังกิดไม่ค่อยเก่ง (ถ้ามี Vancouver จะเจอคนประเภทนี้เยอะมาก บางคนก็พูดไม่ได้เลย ไม่ใช่พูดไม่อย่างเดียวนะ ไม่ยอมพูดด้วย..)

นางมาแต่แรก นางก็แซงคิวแล้ว แต่เนื่องจากว่ามันเหมือนจะเพิ่งเริ่มคนเยอะเลยปล่อยไป
เพราะตามจริงเราต้องบอกให้เค้าไปเข้าคิว

นางก็สั่ง soup ที่จะกินที่นี่ เราก็ถามว่าเอาอะไรอีกมั๊ย ตาม step
นางก็บอกว่าเอา senior coffee

พอมาถึงจุดนี้ เจ๊ก็ไม่รุ ตั้งแต่ทำงานมา 7 เดือน ไม่เคยได้ยิน
เนื่องจากว่า ภาษาอังกิดของนาง รวมกับสินค้าที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทำให้เราเองต้องพูดขอโทด แล้วให้เค้า พูดให้ฟังใหม่
จขบ ก็ถามนางไปหลายรอบเหมือนกัน แต่ก็ไม่รุสักที
โชคดี supervisor ผ่านมาพอดี เลยถามว่ามันคืออะไร

ตอนแรก supervisor ยังไม่รุเรยนางสั่งอะไร เพราะอังกิดนางไม่ไหวจริงๆ
คือ ภาษาอังกิดก็ไม่ใช่ภาษาแม่ เจ๊ก้อไม่ได้ฟังมาแต่เกิด บวกกับนางพูดไม่รู้เรื่อง ไปกันใหญ่...

สรุปคือ ร้านเราไม่มี senior coffee นางเรยบอกว่า ถ้าไม่มีนางไม่เอา

เสร็จสับ นางรับแต่ soup ค่าเสียหาย $3.15 นางให้ มา $4 เพราะฉะนั้น ทอน $0.85

เราก็ทอนเงินเสร็จ นางก็เก็บเงินไรเรียบร้อย
เสร็จงานเราแล้ว เพราะต่อไปจะเป็นหน้าที่ของ soup and sandwich ที่จะตัก soup เสริฟนาง

เราเห็นนางเก็บเงินช้า เราเรยเปลี่ยน cashier ไปเป็นอีกเครื่อง จะได้เสริฟลูกค้าคนอื่น
เราก็เสริฟลูกค้าคนอื่นสักพัก เพราะตอนนั้นคนเยอะมาก จนเราไม่ได้สังเกตุด้วยซ้ำว่านางยืนอยู่

supervisor ก็เรียกเรา บอกว่าเรายังไม่ได้ทอนเงินนาง
เพราะว่า ระบบมันเป็นแบบนี้ ถ้าเราทำผิดเราเป็นคนไปขอโทษและแก้ไข case ใคร case มัน
เพราะว่าคนเสริฟ จะรู้ดีที่สุดว่าพูดอะไรไปบ้าง ลูกค้าสั่งอะไรไปบ้างทำนองนั้น

เราก็เดินกลับไปที่ cashier เดิม ก็จำได้นะว่าเราทอนเงินนางไปแล้ว
เราเรยบอกนางว่าทอนแล้ว

นางก็เริ่มตะคอก บอกว่าให้ไป $4 แล้วภาษาอังกิดนางเป็นคำๆมาก ทำให้ไม่รุว่านางต้องการอะไร

เราก็เรย ปริ้นท์ใบเสร็จแล้วโชว์ให้นางดูบอกว่าทอนแล้ว
แต่ก็เปิด cashier นะ เตรียมคืนนางอีกรอบ เพราะยังคงลังเลว่าอาจจะไม่ได้ทอนตังค์นาง

เราก็ยืนทอนไปอีกรอบ 0.85

นางก็ด่าเราเสียงดังเรยจ้าาาาาาาาา ฟัคยู !

เราเริ่มคิดในใจ เห้ อะไรว้ะเนี่ย

นางก็เริ่มโวยวาย เป็นภาษาอังกิดแย่ๆ ที่ฟังไม่รู้เรื่อง

เราก็เริ่มขึ้นเสียงว่า นี่ ตังค์ทอนนี้ถูกแล้ว

นางบอกว่านางให้ไป 4 เหรียญ ฟัคยู

แล้วนางก็เริ่มตะโกนดังขึ้นอีกว่า " call police "
แล้วนางก้อชี้หน้าด่าชั้นว่า " you cheating me " (ไม่ได้ผิด แกรมม่า อยากโชว์ให้ดูว่าอังกิดนางไม่ไหวจิงๆ)

เราเรยบอกว่าตกลงต้องการอะไร เงินทอนนี้ถูกแล้ว
ทีนี้ เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆก็มีช่วยประกบ
รวมถึง supervisor ด้วย มาช่วยฟัง

เราเริ่มโกรธตัวสั่น
สุดท้าย นางก็พูดขึ้นมาว่า

" you dong(don't) give my soup" " I pay for(4) dollar"

เพื่อนเรยบอกว่า ซุปแก อะ อยู่ตรงนี้ นี่ไงซุป วางไว้ให้

นางก็ยังไม่ฟัง ยังชี้หน้าด่าชั้นว่า ฟัคยู คอลโพลีส

เพื่อนเราเรยพูดเสียงดังบอกว่า ซุปอยู่ตรงนี้ นี่ไง นางเรยหันไปมอง

แล้วนางก็เงียบ เก็บเงินทอน (รอบสอง) ในกระเป๋า ไปหยิบซุป....

จขบ ยอมรับว่าโกรธมาก..
อายด้วย ...

ตรงนั้นคนเยอะมาก แล้วโดนชี้หน้าด่าหลายรอบมาก โดยที่ไม่ผิดอะไร

ตอนแรกคิดในใจอยากจะเอา F*ucking โฟนให้อี F*ucking ลุง โทรไปฟ้อง Police ด้วย F*ucking dam suck English จริงๆ

ชั้นไม่กลัว กล้องวงจรปิดก้อมี ลุงต่างหาก โกงเงินร้านชั้น 0.85 เซนต์ แมร่ง เก็บไปเฉย...
แล้วก็นั่งซดซุปเฉย... ไอ้ .......

จบบริบูรณ์...

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..

ดีใจนะ ที่ตอนนั้นควบคุมอารมณ์อยู่ บวกกับเป็นคนโกรธมากๆแล้วพูดไม่ออก ลุงแมร่งโชคดี
แต่ก็ดีแล้ว เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกคนก็จะไม่พูดถึงเราว่าเรากระทำอะไรนางบ้าง
มีแต่คนพูดถึงนาง ว่านาง .. ทำอะไรบ้าง ..

รู้สึกดีมาก ที่เวลามีปัญหา แล้วมีเพื่อนมาอยู่ข้างๆ ช่วยเหลือ ดีใจมากที่ได้มาทำกับ team นี้
มันทำให้เรารู้สึกดีมากจริงๆ หลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ถึงแม้ลูกค้าจะเยอะ
แต่ supervisor ก็ยังพูดว่า อยากไปพักสักแปปข้างหลังร้านมั๊ย แต่เราไม่หรอก spirit สูง
แต่ตามจิงแล้วคือ แกล้งทำเป็นโอเคไปงั้น เพราะไม่อยากให้ใครมาปลอบ เดี๋ยวร้องไห้
เรยทำตัวยุ่งๆเข้าไว้ จะได้ลืมๆ 5555

หลังจากนั้นทำงานไปก็คิดไปตลอด ว่าแก่ไปจะไม่ทำตัวงี่เง่าแบบนี้ ให้ลูกหลานมานั่งดูถูก แทนที่จะเป็นคนแก่ที่น่ารักให้คนเค้าชื่นชม..

หลังจากนั้นก็คิดได้ ก็รู้ว่า คนเราเวลาไม่มั่นใจมีหลายประเภท

สาขาที่ จขบ ทำอยู่ เป็นสาขาที่มีคนต่างชาติเยอะ เพราะฉะนั้นเจอบ่อย
บางคนก็อาย ตอบ yes ตลอด พูดอะไรก็เอาหมดซื้อหมด (ในขณะเดียวกัน ก็ตอบ no ตลอดก็มี)
บางคนพูดไม่ได้ ก็ยิ้ม หัวเราะ พยายามพูดให้เราเข้าใจ และพยายามทวนคำถามเรา
และ ประเภท นี้ก็เยอะ พวก พูดไม่ได้ แล้วหมดความมั่นใจ แล้วหาว่าเราฟังไม่รู้เรื่อง blame คนอื่น...

เราก็เรยคิดว่า,,

สาเหตุที่ทำให้ลุงคนนี้พูดจา กิริยามารยาทแย่แบบนี้น่าจะเป็น

1. แกคงเหงาอ่ะ มานี่พูดอังกิดก็ไม่เป็นไรงี้ ลูกหลานทิ้งป่าวไม่รุ
2. แกคงหมดความมั่นใจ ที่เราฟังแกไม่รุเรื่อง เรื่อง senior coffee... รวมถึงหงุดหงิดที่เราไม่รุจัก
3. แกยืนรอ soup นาน โดยที่ไม่รู้เรื่องเรยว่า soup อยู่อีกฝั่ง
4. แกคง พูดอะไรไม่เป็น นอกจาก ฟัคยู... แต่แมร่ง เรียน ฟัคยูได้ ทำไม่ไม่เรียนคำอื่นที่มันดีกว่านี้ว้ะ
5. ด้วยความเป็นคนจีน พื้นฐานคนจีน (ส่วนใหญ่) มีแต่เงิน แต่ไม่มีมารยาท ไม่มีวัฒนธรรม

ฯลฯ ที่ไม่รุว่าเหตุผลที่แกมีระเบิดลงที่ชั้นเนี่ยเพราะอะไร ... ว่างมั๊ง ห่าาาาาาาาาาาา... =*=

จบจ้า .. ประสบการณ์ "ครั้งแรก" ที่โดนด่าว่า ฟัคยูว์ ..
นี่ยังตื่นเต้นอยู่เรยนะ ตอนพิมพ์นี่ยังแบบ มือเย็นๆ 5555


ราตรีสวัสดิ์จาก Vancouver

25 September 2014

Saturday, 13 September 2014

มาเรียน "ภาษา" ที่ต่างประเทศ,, 1

โพสนี้ เรามาพูดถึงการเรียนภาษาที่ต่างประเทศกันดีกว่า,,

ตอนที่เราได้ยินใครสักคนพูดว่า "ไปเรียนต่างประเทศ"
เราจะมีความรู้สึกว่า :
"โอ้โหหหหหหหห เก่งอ้ะ"
"หุยยยยยย กลับมาต้องพูดคล่องแน่ๆ"
"โหยดีจังเลยได้เที่ยวด้วย"
"อย่าลืม ภาษาไทยนะ"

และอีกนานับประการต่างๆนานา
เราเรยมีความรู้สึกว่า คนไทยส่วนใหญ่ ยังคงแอบมีความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการไปเรียน ต่างประเทศอยู่

จริงๆแล้วการมาเรียนภาษาที่ต่างประเทศในตอนนี้เราขอแบ่งออกเป็น 4 แบบใหญ่ๆนะ,,

1. ไปแบบ work and travel
2. ไปเรียนแบบ ESL หรือ English as a second language.
3. เรียนแบบ Academic
4. เรียนแบบระดับ High school grade 12, college, หรือ university

มาพูดถึงแบบแรกกันดีกว่าหรือว่าแบบ work and travel
แต่เราคงลงรายละเอียดไม่ได้เยอะ เพราะเราไม่เคยเข้าโปรแกรมนี้
แต่เท่าที่ฟังมาก็ออกแนวว่า ไปทำงานเลย แล้วก็ไปใช้ภาษาอังกฤษเลย เก็บเงินใช้ชีวิต และไปเที่ยว

เพราะฉะนั้น คนที่พอจะมีพื้นฐานทางภาษาบ้าง (หรือไม่มีแต่ใจกล้าก็ไปได้) ก็จะไปเที่ยวเล่น แล้วก็กลับบ้าน สนุกสนานกันไป

ผลลัพท์ของคนที่เลือกโปรแกรมนี้ คงจะเป็น ความคล่องในการใช้ภาษาพื้นฐานในการดำรงชีวิต และการติดต่อสื่อสารประจำวัน เพราะได้ใช้ภาษาอย่างจริงจัง ไม่จำเป็นต้องแคร์ว่าถูกหลักการหรือไม่ รวมถึงประสบการณ์ การทำงาน เอามาใส่ resume สวยๆ แล้วก็ประสบการณ์การใช้ชีวิต

ส่วนแบบที่ 2 แบบ ESL หรือ English as a second language

แบบนี้คนมาเรียนเยอะค่ะ
เริ่มจาก เลือกประเทศที่จะไป เลือกโรงเรียนที่น่าเรียน หลังจากนั้นก็
จ่ายเงินซื้อ course ตาม agency ทำเรื่องขอ visa แล้วก็บินไปเรียน ตามแต่ที่ใจต้องการกันไป

การเรียนคอส ESL เรียนไม่ยากค่ะ แต่พื้นฐานภาษาอังกฤษจะแน่นกว่า แบบแรก เพราะว่าได้เรียนไปใช้ไป ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาก่อนก็ได้

จากประสบการณ์คนเขียน เคยเจอคนที่พูดไม่ได้ฟังไม่ออกแม้แต่คำว่า "Where are you from ?"
ก็ยังมี

ส่วนใหญ่แล้ว โรงเรียน ESL จะขึ้นเทอมใหม่ ทุกๆ 1 เดือนค่ะ
ก่อนเข้าไปเรียน เค้าก็จะมีวัดระดับภาษาเราว่าเราได้อยู่ใน ระดับภาษาอะไร หลังจากนั้นก็จะจัดให้เราไปอยู่ตามห้องในระดับเดียวกัน

การเรียน ESL หลักๆเลยก็จะมี 4 skills ค่ะ
ฟัง, พูด, อ่าน, เขียน
เรียนไม่หนักค่ะ เริ่ม 9 โมงเช้า เลิกบ่าย 3

การเรียนก็สบายๆนะ เหมือนนั่งคุยกันมากกว่า

จริงๆแล้วการมาเรียน ESL ที่ต่างประเทศ ถ้าใครคาดหวังว่าจะกลับไปแล้วพูดคล่องปร่อหยั่งก้ะ native speaker เนี่ย .. เบรค ความคิดไว้เลยค่ะ

การมาเรียน ESL ที่ต่างประเทศเนี่ย มันก็พัฒนาอยู่นะคะด้านภาษา แต่ไม่ได้พัฒนาขนาดนั้น

ถึงแม้ว่าพัฒนาการของเราจะมากขึ้น(จ่ายเงินแล้วก็ต้องพัฒนาบ้าง) เราจะคล่องตัวมากขึ้น
เราจะฟังได้มากขึ้น เราจะโต้ตอบได้ดีขึ้น เราจะอ่านได้มากขึ้น เราจะเขียนได้มากขึ้น ก็ตามแต่

ทำไมหน่ะหรอ ?

เพราะว่าการเรียน ESL เหมือนเป็นการมา เรียนรู้ในการใช้ภาษา และ เรียนรู้ในการใช้ชีวิตต่างแดน
เพื่อนที่พูดด้วยก็จะอยู่ในระดับเดียวกัน ฉันก็พูดไม่ได้ แกก็พูดไม่ได้ เพราะฉะนั้น การพัฒนาไปด้วยกัน
ทำให้พัฒนาการมันค่อยๆเป็นค่อยๆไป

ESL เรียนสนุกค่ะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน แต่เราก็ งูๆปลาๆ ใส่กันให้หัวเราะได้

ESL ทำให้เรามีเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว เพื่อน party ถ้าอยากพูดมากขึ้น เราก็ต้องออกไป เที่ยวเล่นกับเพื่อนมากขึ้น ในที่นี้หมายถึงเพื่อนที่พูดต่างภาษากับเรานะ

ESL ทำให้เราได้เอาภาษาอังกฤษมาใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้เราคุ้นเคยกับการตอบคำถาม
และคล่องตัวกับภาษามากขึ้น ที่เห็นชัดเจนจะเป็น skill ฟังกับพูด ที่ยังไง๊ ยังไง ก็ต้องได้กลับไปหล่ะอ่ะ

ESL ทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น บราซิล เวียดนาม ฯลฯ มีอีกหลายอย่างบนโลกนี้จริงๆค่ะ ทีเราว่าเค้าแปลก และเค้าว่าเราแปลก บางทีเค้าก็เข้าใจวัฒนธรรมเราผิด บางทีเราก็เข้าใจวัฒนธรรมเค้าผิด ยิ่งคุยก็ยิ่งสนุก

ESL ทำให้เราได้เรียนรู้คำหยาบคายในภาษาอื่นๆอีกหลายภาษา 555

โดยสรุปแล้ว ,, เราจะได้ประสบการณ์และความคล่องตัวในการใช้ภาษาพื้นฐาน เพื่อติดต่อสื่อสารค่ะ
ยังคงไม่ถึงขั้นมืออาชีพอย่างที่เราคิดไว้

สำหรับใครที่คิดว่า โห,, เราไม่มีพื้นฐานอะไรเลย คงไปไม่รอด
อย่าไปคิดอย่างนั้นค่ะ ถ้าอยากเก่งก็ต้องขยัน ของแบบนี้ฝึกกันได้ ยังไงก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว

การมาเรียน ESL ที่ Vancouver ก็ดีเหมือนกันนะคะ
เพราะที่นี่คนเอเชียเยอะ เราจะเห็นคนหน้าเอเชียที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกเยอะแยะ
คนฝรั่งที่นี่เค้าก็เข้าใจเรา เพราะเค้าเห็นนักท่องเที่ยว และ Immigrant ที่เป็นเอเชีย
เค้าก็พยายามเข้าใจเราอยู่แล้ว

แต่ข้อเสียคือ พัฒนาการมันช้า เพราะพูดก็พูดกับคนในระดับเดียวกัน ค่อยๆเรียนรู้ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ที่พูดไปก็ไม่รู้ถูกมั๊ย ที่ฟังมาก็ไม่รู้เข้าใจป่าว ทำนองนั้น แล้วเราก็จะไมไ่ด้สำเนียงเท่าไหร่
ถ้าอยากได้สำเนียง ก็คงต้องฝึกเอง

และที่ยากที่สุดเราคิดว่า ฟังคนญี่ปุ่นพูด เพราะภาษาของคนญี่ปุ่นมันไม่ค่อยมีตัวสะกด ภาษาเค้ามีสระพื้นฐานแค่ 5 ตัว อะ อิ อุ เอะ โอ่ะ แล้วจับคน ญี่ปุ่นมาพูดอังกฤษเนี่ย ฟังยากโคดดดดดด ไม่ได้ฟังยากอย่างเดียวด้วยนะ พูดกับพวกนาง พวกนางก็ไม่ค่อยเข้าใจด้วย

เดี๋ยวเอาไว้โพสอื่นๆค่อยเล่าประสบการณ์สนุกๆที่เจอมาแล้วกันเนอะ แปะไว้ก่อนนะ อิอิ

_______

โดยสรุปแล้ว การเรียนภาษาอังกฤษในแบบ work and travel และ ESL จะเหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้จริงจังว่าอยากจะได้ภาษาอังกฤษอะไรมากมายค่ะ

คนที่มาลงแบบนี้ ส่วนใหญ่จะมากันเล่นๆ เรียนไปเที่ยวไป เรียนรู้ และใช้ชีวิตในต่างแดนไปเรื่อยๆซะมากกว่า

ภาษาก็จะได้คล่องตัวระดับหนึ่ง (แต่ใครได้เยอะก็ดีหน่อยนะ) ไม่ได้กลับไปแบบโห พูดน้ำไหลไฟดับ

อ่าว ,, แล้วถ้าอยากจริงจังกับภาษาหล่ะ ?
เดี๋ยวค่อยมาเขียนต่อโพสหน้าแล้วกันเนอะ ,,
กับอีก 2 แบบที่เหลือค่ะ

ราตรีสวัสดิ์ จาก Vancouver คร๊าาาาาา =3
12 September 2014