Friday 23 October 2015

วีซ่าแคนาดา เดี๋ยวนี้ทำง๊ายยย ยิ่งกว่าตด

ไม่ได้อัพมานานมากกกกกกก
พอดีช่วงนี้ ต้องทำ visa พอดี

แล้วรู้สึกว่า เห้ยยยยยยยยย !!! เดี๋ยวนี้มันง่ายเวอร์

เรยอยากมาแชร์ประสบการณ์ เผื่อใครอยากทำเอกสารและยื่นเองค่ะ

------------- 

ก่อนอื่น ขออณุญาต เกริ่นเกี่ยวกับ ชนิดของเอกสารหลักๆที่พอทราบมี 3 แบบค่ะ

แบบแรก คือ study permit อันนี้ทุกคนต้องมี ต้องขอ ก่อนจะไปเรียนแน่นอน
วิธีการขอจะขอรอบเดียวกันกับ visa

เค้าเรยเรียกรวมกันไปเลย ซึ่ง ไอตัว visa เนี่ย มันคือ sticker ที่ติดอยู่ใน passport เพื่อเอาไปผ่าน ตม. เข้าประเทศแคนาดา

มี study permit ตัวเดียวเข้าแคนาดาไม่ได้ มีแค่ visa ตัวเดียวเข้าไปได้แต่เรียนไมได้

ตัวถันมาจะเป็น work permit ค่ะ ตัวนี้ เป็นใบอณุญาต ทำงานค่ะ
ไม่ใช่ทุกคอสฯเรียนจะทำได้

ต้องมีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไป อาจจะเป็น on campus คือ ทำได้แค่ part-time เท่านั้น
ระหว่างเรียน หลังเรียนทำไมได้

หรือจะเป็น ระหว่างเรียนทำไมได้เลย

หรือมีอีกแบบนึง ระหว่างเรียนทำได้ และหลังเรียนทำได้
แต่ในกรณีนี้จะต้องเป็นสมัครเรียนมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป
และต้องเป็น คอส ที่ได้ certificate จริงๆจังๆ ไม่ใช่แค่ ภาษาอังกฤษ

รายละเอียดการเรียนจริงๆยังมีอีกมาก ถ้าอยากได้รายละเอียดเยอะๆกว่านี้จริงๆ agency ก็ช่วยได้

แต่สำหรับใครอ่านแล้วเข้าใจ เลือกที่เรียนเองได้ ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่ง agency ค่ะ

-----------------------------------------

เข้าเรื่องเลยดีกว่า

ขอวีซ่าแคนาดา เดี๋ยวนี้ง่ายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก (เติม ก.ไก่ไปอีก 38 ล้านตัว) เลยค่ะ
(แต่ก่อน ลำบากทั้งสถานที่ วุ่นวายทั้งเอกสาร คนก็เยอะ รอก็นาน หลายสิ่ง)

ถ้าเกิดใครพอจะมีเวลา สามารถลาหยุดได้เต็มๆวันซัก 3 วัน (ไม่ได้ติดกัน)
ก็สามารถจะทำ วีซ่าได้เองโดยไม่ต้องพึ่ง  agency เลย
วันนี้จะมาเล่ารายละเอียดการขอเอกสารอย่างเป็นขั้นตอนให้ฟัง และจงมั่นใจค่ะว่ามันง่ายจริงๆ

1. Acceptance letter

หลังจากตัดสินใจจะไปเรียน เลือกคอส เลือก โรงเรียนได้แล้ว
ขั้นแรกของการทำวีซ่า คือจ่ายค่าเรียนค่ะ

โรงเรียนทางแคนาดาเค้าต้องการให้เราจ่ายค่ายเรียนเต็มจำนวน
วิธีการจ่ายที่ รวดเร็ว และ สะดวกที่สุดคือ บัตรเครดิต
(อันนี้คือ กรณีเราต้องการทำเรื่องเองทั้งหมด ถ้าติดต่อผ่าน agency
อาจจะคุยกันได้ว่าอยากจ่ายแบบไหน)

หรือหากอยากได้วิธีอื่นๆ ก็ต้องอ่านรายละเอียดแต่ละ โรงเรียนดู หรือส่ง E-mail ไปถาม
ว่าเราทำวิธีไหนได้บ้าง
(การติดต่อหลักๆของการสมัครเรียนม สอบถาม ฯลฯ ทุกอย่าง หลักๆอยู่ที่ E-mail ค่ะ)

หลังจากชำระค่าเสียหายแล้วทาง โรงเรียนจะทำเรื่องส่ง จม. Acceptance letter มาทาง E-mail ค่ะ
โดย จม. ตัวนี้ “สำคัญที่สุด” ในการขอวีซ่าค่ะ
มันจะประกอบไปด้วยรายละเอียดคอสเรียน วันที่เริ่ม วันที่หมดคอส ฯลฯ
และเป็นจดหมายที่ยืนยันว่าทาง โรงเรียนได้รับเราเข้าโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว

ระยะเวลาของเอกสารขึ้นกับทางโรงเรียนค่ะ

อย่างเราเคย apply โรงเรียนนึงไป รอประมาน อาทิตย์กว่าถึงจะได้รับการตอบกลับ
ตอบกลับในที่นี้ไมได้หมายถึง acceptance letter นะคะ ตอบกลับว่า รับรู้แล้วว่าสมัคร

เอาหล่ะค่ะ พอบาดเจ็บจากการจ่ายเงินเรียบร้อย ระหว่างรอการตอบรับ เราก็ไปทำเอกสารอื่นๆ รอด้วยเรยค่ะ

2. หนังสือรับรองคววามประพฤติ

ตัวนี้ต้องไปขอที่สถานนีตำรวจสันติบาลค่ะ

มันอยู่แถวๆ รพ. ตำรวจ แถวๆ สยามกับ ชิดลม แถวนั้นค่ะ
ตอนไปคนเยอะมากๆๆๆๆๆ การบริการจะเร็วมากค่ะ เพราะเค้าทำกับแบบมืออาชีพ

สิ่งที่ต้องเตรียมไปตามนี้เลยค่ะ

2.1 ผู้ร้องชาย

  • สำเนาหลักฐานการทหาร (สด.๙, สด.๔๓)
  • บัตรประชาชน
  • ทะเบียนบ้าน
  • หนังสือเดินทาง
  • ใบเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุล (ถ้ามี)
  • รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 รูป
2.2 ผู้ร้องหญิง

  • สำเนาหลักฐานการสมรสหรือหย่า
  • หนังสือเดินทาง
  • ทะเบียนบ้าน
  • บัตรประจำตัวประชาชน
  • ใบเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุล ถ้ามี
  • รูปถ่าย 2 รูป

เอกสารตัวนี้ต้องไปด้วยตัวเอง
เพราะเค้าต้องให้ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง พิมพ์ลายนื้วมือ นั่นนี่เยอะแยะไปหมด ไปเองค่ะ

ไปเช้าหน่อยก้เสร็จเร็วหน่อย ใครทำงานอาจจะต้องหยุดทำงานช่วงเข้า ไปทำค่ะ

พอเสร็จสับ ก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติรอเอกสารที่บ้านได้เลยค่ะ

3. เอกาสารเกี่ยวกับการเรียน

ถ้าเกิดว่าใครเพิ่งจบ มหาวิทยาลัย เตรียมไปขอ transcription และ certificate รอไว้ได้เลย
ได้มาแล้ว ทำ copy ไว้เยอะๆเลยค่ะ ต้องได้ใช้เยอะแน่ๆ

4.เอกสารทางการเงิน

ตัวนี้เราต้องไปที่ธนาคารที่เรามีเงินเยอะที่สุดค่ะ
ไปขอได้ที่ธนาคาร ตัวนี้ธนาคารจะต้องการ passport เรา

เอกสารจากธนาคารเนี่ย เค้าต้องการอัพเดทที่สุดหน่ะค่ะ
ขอเป็น สกุลเงิน แคนาเดี่ยนดอลล่านะคะ

เอกสารตัวนี้ขอวันนี้ได้พรุ่งนี้

เพราะฉะนั้น เราก้อต้องคำนวนเวลาดีดี ว่าจะไปขอช่วงไหน
เพราะอย่าลืมว่าเราต้องรอเอกสารอื่นๆ เป็นเดือนๆได้เหมือนกัน

5. การทำงานของ ผู้ปกครอง // เอกสารรับรองการทำงาน

อันนี้ในกรณีที่ ผู้ปกครองส่งเราไปเรียน
เค้าก็จะขอเอกสาร รับรองการทำงานของผู้ปกครองด้วย

แปลเป็นภาษาอังกฤษมานะคะ
ถ้ามีหลายแผ่นไม่ต้องแปลทุกแผ่นก็ได้ แปลแค่หน้าแรกแผ่นเดียวก้อพอ

เอกาสารตัวนี้ทำทิ้งไว้เลยก็ได้ถ้าว่าง พอเอกสารทุกอย่างพร้อม จะได้เสร็จพร้อมกัน

แต่ จขบ ยังไม่มีประสบการณ์ ขอเอกสารการทำงาน แล้วไปยื่นหน่ะค่ะ
แต่คิดว่า คงใช้วิธีเดียวกัน ขอเอกสารรับรองการทำงานมา
แล้วก็เอาไปแปลซะ

6. Passport

ใครมีอยู่แล้วก้อรอดไป

แต่ถ้าใครยังไม่มีทำง่ายมากค่ะ
เอาเงินและ บัตรประจำตัวประชาชนไป google หาสถานที่ ที่เราสะดวกที่สุด

เดี๋ยวนี้การทำ Passport สะดวกและรวดเร็วมาก ทุกอย่างแบบว่า จัดการไว้ให้หมด
เค้าจะมีหลายแบบให้เลือกค่ะ ตามราคา จะรอหน่อยก็จ่ายน้อย รีบๆหน่อยก็จ่ายมาก เลือกเอาล้ะกันเนอะ

จขบ. เดินโง่ๆเข้าไป รับบัตรคิว ยื่นบัตรประชาชน
กรอกข้อมูล, รอคิว, ถึงคิว, เดินเข้าช่อง, ถ่ายรูป, แสกนนิ้วมือ, เดินออก, จ่ายตังค์, รอวันมารับ จบ,,

------------------------------

พอเอกาสารที่ต้องเตรียมเองพร้อมเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว
จขบ แนะนำว่า ให้ทำ photo copy ไว้ประมาน 2-3 ชุด เผื่อไว้เฉยๆ เวลาเค้าเรียกหาเราจะได้มี
ถ้าเตรียมไว้ก่อนก้อดี แต่ถ้าไปสถานที่แล้วไม่ครบจริงๆเค้าก็มีบริการให้นะ แต่แผ่นละ 3 บาท

-----------------------------

โอเค,, พร้อมนะ ไปกันเล้ย !

จขบ แนะนำว่า ให้ใช้เวลา 1 วันในการไปทำ visa วันเดียวจบ

รวบรวมเอกสารและเงินสด ให้พร้อมค่ะ
ไปแต่เช้า ขาดเหลือะไรจะได้หามายื่นจะได้ทำให้มันเสร็จๆ วันเดียวเลย

ตอนนี้การขอวีซ่าแคนาดา
สถานที่ตั้งจะอยู่ที่ตึก The Trendy ที่ซอยสุขุมวิท 13

วิธีไปง่ายมาก นั่งรถไฟฟ้าไปลงนานา ลงทางออกที่ 1 แล้วเดินไปที่ สุขุมวิท 13
แล้วเดินเข้าซอยไป จะมีอยู่ตึกเดียวเข้าไปแล้วรู้เลย อยู่ทางขวามือ

ศูนย์บริการเปิด 9 โมงเช้า ปิด 5 โมงเย็น ไปเวลาไหนก็ได้
เปิดแค่วันจันทร์ถึงวันพฤหัสค่ะ (เพราะฉะนั้นต้องลางาน/โรงเรียน)

การทำวีซ่าแคนาดาจะใช้ ลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้น 28

จิงๆศูนย์นี้จะรวมหลายประเทศเข้าด้วยกัน
เราก้อบอก เจ้าหน้าที่ว่าทำวีซ่าแคนาดาหาไม่ยากค่ะ ไม่ต้องกลัว

ยังค่ะ ,, ขอกลับมาที่เอกสาร จิงๆ ยังไม่หมด

ก่อนไปศูนย์บริการค่ะ แนะนำให้ไปธนาคารก่อน
เวลาเราเดินจาก สถานีรถไฟฟ้านานา มาเรื่อยๆ เราจะเห็นสะพานลอย
เดินข้ามสะพานลอย ไปธนาคารกรุงเทพค่ะ

เดินไปบอกเค้าว่าจะมาซื้อ cashier cheque เอาไปขอวีซ่าแคนาดา
ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 4 พันกว่าบาท สำหรับการขอวีซ่าใหม่ทั้งหมดที่รวม study permit ด้วย
แล้วก็จะมีสั่งจ่าย ศูนย์ VFS ศูนย์ที่บริการทำวีซ่าอีก 6 ร้อยกว่าบาท

แต่ถ้าหากมี study permit แล้ว จะจ่าย 2700 ให้กับ สถานทูตค่ะ
จ่ายคนละราคา อย่าซื้อผิดนะ เดี๋ยววุ่นวายเข้าไปใหญ่

หรือถ้าไม่แน่ใจ ไปที่ตึกก่อนก็ได้ ไปปรึกษาเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่จะยื่นมาว่าเราต้องไปซื้อเท่าไหร่ถึงจะถูก

ชำระค่าเสียหายเรียบร้อยแล้ว พร้อมไปที่ตึกค่ะ

-------------------------------

ขึ้นไปที่ชั้น 28 ผ่านยาม ปิดมือถือ เดินผ่านเครื่องจับระเบิดและตรวจกระเป๋า

อย่าเพิ่งเข้าไปที่ศุนย์ค่ะ ให้ตรงไปที่ เครื่องถ่ายรูปก่อน
มันจะเป็นตู้และมีคนเฝ้าอยู่ค่ะ บอกเค้าว่าถ่ายรูปทำวีซ่า

เข้าไปในตู้ ยิ้มอ่อน ,, แชะ รวดเร็วค่ะ เชครูปแล้วไม่พอใจ ถ่ายใหม่ได้อีกครั้ง..

เครื่องถ่ายรูปอันนี้ชัวร์ค่ะ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ผ่าน เห็นหูเห็นจมูกตาปากครบ
ไซส์หน้าเป๊ะ พร้อมยื่นวีซ่าค่ะ เสร็จแล้วเครื่องจะปริ้นท์ออกมา ค่าเสียหาย 250 บาทค่ะ ได้มา 6 รูป

ถ้ารีบๆ รอบแรกก้อพอค่ะ เอาแค่หน้าไม่เบี้ยวก็พอ
หน้าตาไม่เกี่ยวกับการขอวีซ่าค่ะ ไม่งั้น จขบ คงไม่ผ่าน 5555

หลังจากนั้นเดินเข้าไปที่ห้องของทำวีซ่าแคนาดาค่ะ
ข้างหน้าจะมีคนคุม เราบอกเค้าว่ามายื่นเอกสาร

เราก็เขียนชื่อลงในสมุดเค้าก้อจะปล่อยเราเข้าไป กดบัตรคิวให้
มีเก้าอี้ ให้นั่งรอเรียก นั่งรอเรยค่ะ

ถึงคิวแล้วให้เราบอกเจ้าหน้าที่ว่ามาทำวีซ่าและขอ study permit ค่ะ
ถามเค้าว่าต้องกรอกเอกสารอะไรบ้าง
เอกสารกรอกมือได้ค่ะ เค้าก็จะให้เอกสารที่จำเป็นต้องกรอกมา

ไม่ต้องกลัวค่ะ ที่นี่บริการดีมาก กรอกผิดมีคนชี้แนะ กรอกไม่ครบเดี๋ยวเค้าก้อบอกเราเอง

พอเอาเอกสารมากรอกเสร็จ กลับไปยี่นที่เจ้าหน้าที่คนเดิมค่ะ
แล้วยื่นเอกสารทั้งหมดที่เราเตรียมมา ให้เจ้าหน้าที่เชค
เดี๋ยวเค้าจะบอกเราเองว่าขาดเหลืออะไรบ้าง
เค้าก็จะจัดเรียงเอกสารให้เราเองค่ะ

----------------------------

อ๋อ ลืมบอกไปค่ะ เอกสารอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา ถ่ายเอกสารแล้วเอาไปให้หมดนะ
บัตรประชาชน, passport, ทะเบียนบ้าน ฯลฯ เอาไปเถอะค่ะ เผื่อไว้เยอะ จะได้ไม่เสียเที่ยว

---------------------------

พอเรากรอกมือเสร็จเราก้อยื่นให้เจ้าหน้าที่ เค้าจะไปช่วยเรากรอกเองค่ะ
เค้าจะบอกให้เราไปนั่งรอ

เค้าก็จะกรอกเอกสาร online ให้เลยค่ะ
หลังจากเจ้าหน้าที่กรอกเอกสารให้เสร็จเค้าก็จะเรียกเรามาตรวจทานว่าถูกต้องทุกอย่าง

ถึงเวลาชำระค่าเสียหายค่ะ
ค่าเสียหายก็จะขึ้นอยู่กับเราใช้บริการอะไรบ้าง

เช่น เอกสารที่ต้องมี copy แต่เราไม่มี ถ้าเค้าทำให้ก็คิดเงิน
ค่ากรอกเอกสาร online, ค่าส่งค่ะ แล้วแต่เรา จะมารับเองหรือจะให้เค้าส่งแบบไหน
ถ้าจะมารัรบเองเค้าก็จะคิดค่าโทรสับ 60 บาท

จ่ายไปค่ะ ขั้นตอนสุดท้ายแล้วจริงๆ.. 
จ่ายค่าเสียหายเสร็จ เค้าก็จะให้เป็น copy passport พร้อมกับใบเสร็จ รอการติดต่อค่ะ

สำหรับคนเพิ่งทำครั้งแรก การติดต่อครั้งต่อไป จะเป็นการติดต่อ เพื่อให้มารับใบตรวจสุขภาพค่ะ
แสดงว่าเอกสารผ่านไปแล้ว ครึ่งทางค่ะ

การไปตรวจสุขภาพก็ง่ายค่ะชิวๆ เสียเวลา อีก 1 วัน
เค้าก็จะมีรายการ โรงพยาบาลมาให้ ตรวจเลือดนั่นนี่ จ่ายเงิน (จ่ายไปเรื่อยๆค่ะ 555)

หลังจากการจ่ายเงินแล้วเราก้อรออย่างเดียวค่ะ
ไม่มีเอกสาร
ทาง รพ. จะติดต่อกับสถานทูตเอง

หลังจากนั้นรอค่ะ จขบ จำได้ว่ารอเป็นเดือนๆ รอไปเรื่อยๆค่ะ
ส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่มีปัญหาอะไรผ่านอยู่แล้วค่ะไม่ต้องห่วง
เค้าจะทำให้เราผ่านก่อนเปิดเรียนแน่นอน

แต่เวลาสมัครเรียนให้เราเผื่อไว้นะคะ เผื่อรอเวลาทำวีซ่า กับ study permit เนี่ยแหล่ะ
เผื่อไว้ 2 เดือนค่ะ

สมมติต้องการสมัครเรียนในเดือนมกราคม
เราก็ไปเลือกวันเรียนไว้ประมาน มีนาคม หรือเมษาก้อได้

แต่จริงๆแล้ว โรงเรียนเค้าก็ค่อนข้าง flexible ค่ะ
ถ้าเราทำเอกสารไม่ทัน ก็ e-mail ไปแจ้งเค้าเลื่อนวันเรียนได้ค่ะ

แต่ก็อย่าให้มันวุ่นวายเรยเนอะ 555

----------------------------------

ถ้ามีอะไรอยากจะหาข้อมูลเพิ่มเติม ไปที่ website ของ vfs ที่เป็นศูย์ทำวีซ่าแคนาดาhttp://www.vfsglobal.ca/Canada/Thailand/thai/all_about_visa.html

หรืออยากหาแบบฟอร์ม ก็จะเป็น

เป็นเวปของ สถานทูตแคนาดาที่แคนาดาเลยค่ะ

----------------------------------

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ เป็นแค่ประสบการณ์ของ จขบ. เองนะคะ
หากมีอะไรผิดพลาดหรือมีอะไรที่ไม่ครบก็ขออภัยมาใน ณ ที่นี้

สุดท้าย
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ จะมา อัพเรื่อยๆนะคะ
^^

Thursday 11 June 2015

ชื่อ เสีย(ง) เรียกนาม.. ใน ต่างประเทศ

ไม่ได้อัพนานมากกกกก,, เพิ่งจะมีอารมณ์อัพ ฮ่าฮ่าฮ่า
โพสนี้มีอารมณ์
ว่าด้วยเรื่องของชื่อ ที่เอาไปใช้ ที่ ตปท. (โดยเฉพาะประเทศที่ใช้ภาษาปะกิด)
ไม่ต้องลีลา ไปอ่านกันเรย !

......................................................................................................

เรามีปัญหาเรื่องชื่อมาโดยตลอดค่ะ
เพราะชื่อคนไทยอย่างที่รู้ๆกัน
เราเน้น "ความหมาย" เป็นหลัก
ไม่ใช่แค่ชื่อจริงเท่านั้นนะ นามสกุลด้วย

ชื่อจริงและนามสกุลจริงเราจัดว่ายาว
" กรกนก วงศ์เสรีวัฒนา "

เอาเป็นว่า แค่ตอนเรียนเป็นภาษาไทย ต้องเขียนชื่อทุกใบในข้อสอบ
ก็ใช้เวลาประมานนึงแล้ว..

ประสบการณ์ แรกกับชื่อคือ การไปสั่ง Starbucks
Starbucks ที่ ตปท ถ้าใครเคยไปจะรู้ว่า มีการระบุชื่อลงบนถ้วย
ไม่ว่าจะด้วย Marketing หรือการไม่มั่ว order กันก็ตาม

เวลาพนักงานถามว่า
" Can I grab your name ?"

เราก้อตอบไปแบบพยายามพูดสำเนียงต่างชาติว่า "คอร์น"

ขอแอบท้าวความเรื่องชื่อเรานิดนึง
จิงๆแล้ว จะสะกดตรงตัวเรยก้อได้ กร = gone
แต่เนื่องจากเราเป็น ผู้หญิ่งที่ "เยอะ"
ความหมายของคำว่า gone มันแปลว่า หาย หรือการจากไป

เราเรยไม่ชอบออกเสียงว่า "กร" ตรงๆ

จุดยากมันอยู่ตรงนี้ ,, ไปถึงไม่เท่าไหร่ ภาษาก้อยังไม่แข็งแรง
และกรออกเสียงชื่อให้มันได้ Korn นี่ ,, จัดว่า Challenging เรยทีเดียว

ตัดภาพกลับมาที่ร้าน Starbucks

หลังจากที่ ผญ คนนี้ บอกเค้าไปว่า "คอร์น"

แก้วที่ได้มา ก้อเขียนว่า "Kom" บ้าง "Kon" บ้าง "kor" บ้าง..

เอาเป็นว่าช่วงแรกที่สั่ง Starbucks ไป ไม่เคยได้แก้วไหนเรย ที่เขียนว่า .. Korn..

โอเค,, ไม่พอใจ
ถ้าชื่อนี้มันออกเสียงยากนัก ก้อเปลี่ยนมันไปเล้ย !

สุดท้ายแล้วเรยให้เพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ ที่รู้จัก ตั้งชื่อให้ดิชั้นใหม่
ดังนั้น เราจึงมีชื่อภาษาอังกฤษว่า " Claire "
อันนี้เรยเป็นที่มาของชื่อภาษาอังกฤษนั่งเอง

หลังจากนั้น พออยู่ไปสักพัก เราก็ต้องมีการทำ paperwork
 เช่น การสมัครเรียน สมัครสอบ สมัครสมาชิก เอกสารธนาคาร บัตรนักเรียน ฯลฯ

ดังนั้น ปัญหาที่ 2 ของเราคือ .. ชื่อยาวเกินไป ..

Kornkanok Wongsereewattana
ไม่มีบัตรไหนเรย ที่สามารถ fit ชื่อนี้ลงไปได้

ทุกครั้งที่ทำบัตร ทุกครั้งที่ฝรั่งเห็นชื่อ ทุกครั้งที่เราแจ้งชื่อ ทั้ง personal และ โทรศัพท์
ทุกคนจะทำหน้า "อึ้ง" อย่างเห็นได้ชัด..

เช่น ตอนนั้นบินไป Yukon เรายื่น Passport และ ticket ให้พนักงานเชค
เค้าถึงอุทานออกมาว่า
" this name is so interesting." และใช้เวลาเชคตั๋วประมาน 1 นาที ในการเทียบชื่อเลยทีเดียว

เวลาที่ใครโทรมาขอสาย กรกนก ทุกคนก็จะแบบ
" May I speak with คอ.. คอร์..น คะ... คา โหนก.. please ? "
ซึ่งเราก็สงสารเค้านะ เพราะว่ากจะพูดชื่อเราจบ
หมดเวลาสะกดก้อประมาน -30 วินาทีล้ะ

ตอนแรกเราก้อไม่รู้ ว่าเราสามารถดัดแปลงชื่อตัวเองได้
แต่จริงๆแล้ว ทำได้ค่ะ
ตราบเท่าที่มันไม่ใช่เอกสารสำคัญอะไรมาก
(แน่นอน ยกเว้นเอกสารธนาคาร เอกสารสมัครสอบ อันนี้สำคัญ)

เช่น ถ้าเราไปสมัครสมาชิก gym เราก็แปลงชื่อเราได้

ทำไมเราถึงรู้ ?
เพราะมีครั้งนึงที่ไปสมัครสมารชิกที่ gym แห่งหนึ่ง
เค้าถึงขั้นพูดว่า "ขอตัดชื่อเราออกได้มั๊ย มันไม่พอ" ...

หลังจากนั้นมา ถ้าต้องใช้ชื่อในอะไรก็ตามที่มันไม่ได้จริงจัง หรือใช้แค่ครั้งเดียว
เราก็จะใช้นามแฝงไปเลย เป็นการตัดปัญหา การสะกดชื่อ และการพิมพ์ชื่อใส่บัตร

นี่มันเป็นปัญหาระดับชาติเรยนะเฟร้ย ! 5555

ก็เรยได้ชื่อแฝงมาอีกชื่อกลายเป็น
Claire Wong

สั้นขนาดนี้ ! พอใจยังคะ พวกคุณ !

..........................................................................................................

แต่จริงๆแล้ว ชื่อยาวแบบนี้ ก็มีประโยชน์นะ
ตรงไหน ,, ?

เดี๋ยวจะเล่าเหตุการณ์นึงให้ฟัง

สถานที่ๆเราทำงานอยู่นั้น ส่วนใหญ่ homeless จะค่อนข้างเยอะ
ดังนั้น จะเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างโดนป่วนเยอะหน่อย
อีกทั้ง เป็น international student ด้วย คนพวกนี้มักจะมาเหยียดหยามบ่อยๆ

มีครั้งนึงที่ พวกนางอยากเข้าห้องน้ำ ซึ่งจิงเราปิดห้องน้ำทำความสะอาดไปแล้ว
ตาม Policy และ duty ของ manager ว่าปิดห้องน้ำเวลานี้ๆๆนะ

มี homeless นางนึงเข้ามาขอใช้ห้องน้ำ
จริงๆ เค้าไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรหรอกนะ แต่ห้องน้ำเราปิดแล้วจะให้ทำไง
เราก็บอกไปว่า out of order

นางก็ขึ้นเสียงเรย จะใช้ให้ได้และขู่พวกเราโดยการถามชื่อ

จิงๆเราอยากจะบอกว่า การขู่ด้วยการถามชื่อนั้น.. ไม่ได้ทำให้พวกเรากลัวแม้แต่น้อย
ก็เราถูกสั่งให้ปิดเวลานี้ ถึงเค้าจะเอาชื่อเราไปฟ้อง manager เค้าก็ไม่ทำอะไรอยู่ดี

นางเริ่มใช่ถามชื่อเพื่อนเราทีล้ะคน
เพื่อนเราก็บอกว่า ไม่บอก ไม่จำเป็นต้องบอก.. ฯลฯ

พอถึงตาเรา นางถามชื่อเราอย่างเสียงดังให้เรากัวเกรง
เราเรยบอกไปว่า

"กรกนก วงศ์เสรีวัฒนา" ด้วยสำเนียงไทย เสียงดังฟังชัด ควบกล้ำและ ร.เรือ กระดกลิ้น
เราถามต่อด้วยว่า "จะเอาเบอร์ manager ไปมั๊ย? เดี๋ยวเขียนให้"

นางจ้องหน้าเราประมาน 30 วิ
ดิชั้นก้อจ้องกลับ และทำตาใสใส แบ๊วๆ ใส่
นางหันหลัง แล้วเดินจากไป ...
เห้ !

จิงๆชื่อเราก็มีประโยชน์นะ ! ฮ่าฮ่าฮ่า

..........................................................................................

ชื่อไทยเรายากไม่พอ ชื่อบางชื่อ ถ้าเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษเมื่อไหร่
มันจะกลายเป็นคำที่บางทีฟังแล้วรุสึก.. awkward หรือ แปลกๆ
และบางที คำออกเสียงก็ไม่เหมือนกันอีกนะ !

เช่น
Nut คำนี้ในภาษาอังกฤษเป็นคำ แสลง ที่แปลว่า "บ้า"
และสำหรับบ้านเราชื่อนี้ใช้อ่านจริงๆได้ 2 แบบ นัท หรือ นุท

แต่ทั้งหมดทั้งมวล คำนี้รุสึกจะเด่นสุดใน topic ว่าด้วยเรื่องของชื่อ นั่นคือออออ

"พร" ใช่แล้น !!!!
เพราะเวลาคนชื่อนี้สะกดเป็นชื่อภาษาอังกฤษจะกลายเป็น Porn ! ขึ้นมาทันที
ทุกคนคงรู้นะว่า ชื่อนี้หมายความว่าอะไร 5555

สมมติว่า
ชื่อ Suchaporn ถ้าคนไทยอย่างเราๆอ่าน เราก็จะอ่านว่า สุชาพร แต่ฝรั่งอ่าน " Such a porn "
ชื่อ Pornrat เราอ่านกันว่า พรรัตน์ แต่ฝรั่งอ่าน "Porn rat"
.....

คนชื่อ พร ถ้าไป ตปท. ก้อต้องทำใจนะก้ะ,, ถ้าไม่ใช่เอกสารอะไรสำคัญ จะเปลี่ยนชื่อแบบเราก็ได้นะ
อิอิ
...........................................................................................

แล้วชื่อของประเทศอื่นๆหล่ะ ?

เล่าถึงชื่อของคนประเทศอื่นกันบ้าง

ชื่อที่ง่ายที่สุดคงจะไม่พ้นชื่อ "ญี่ปุ่น"
ชื่อคนญี่ปุ่นนี่ขอจัดว่าเป็น สากลโลกที่ ใครๆก็เรียกได้

ยูกิ ยูชิ เรโกะ อาโออิ (เห้ย ! เดี๋ยวๆ ตัวอย่างมันแปลกๆ 555)
สั้นๆ ง่ายๆ ฝรั่งเรียกได้

ชื่อชาวญี่ปุ่นไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ ยกเว้น พวกนางไม่ได้อยู่รวมกันนะ
เพราะชื่อพวกนาง ซ้ำกันเกิ๊น อาจจะทำให้เรียกผิดคนได้

ชื่อที่ยากขึ้นมาหน่อย ก็คงเป็น จีนกับเกาหลี
จีนก็ยากตรงออกเสียง เพราะมีหลายโทน แล้วเน้น ฉ.ฉิ่ง ซึ่งยากสำหรับฝรั่ง
ส่วนเกาหลี เน้น ควบกล้ำ อันนี้เราว่า คนไทยน่าจะรู้ว่าภาษาเกาหลี ควบกล้ำเกือบทุกคำ

ไม่มีชื่อไหนยาก และ unique เท่าชื่อของ พวกเราชาวไทยอีกแล้ว
ว่ะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า !

จิงๆก็ไม่ใช่มีแต่ชื่อไทยเท่านั้นนะที่แปลแร้วแปลกๆ
มี classmate เราคนนึงค่ะ ชาวอะไรไม่รู้ แต่โซนแขกหน่อย
ชื่อ "อะแนส" แต่เราก็ไม่รู้นะว่าสะกดยังไง

ตอนนั้นมีการเชคชื่อหน้าชั้น เพราะเพิ่งขึ้น level ใหม่ ครูก็ต้องการจำชื่อนักเรียน
วันนั้นมี 4 วิชา
และถ้าสังเกตจากครูทุกคน ที่ขานชื่อนี้
จะมีรอยยิ้มที่มุมปาก ในลักษณะที่พยายามจะกลั้นหัวเราะ,,
และจะใช้เวลาประมาน 30 วิ ก่อนจะพูด
ก่อนจะเงยหน้า แล้วพูดแบบระวังๆว่า..

" Anus ? "
" ทวารหนัก ? "

จบ.
..............................................................................................

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค๊า !
ถ้าใครอยากให้เขียนเล่าเรื่องอะไร ก้อถามก้อบอกได้น้า

ขอบคุณค๊าาา

11 มิถุนายน 2558

Saturday 7 March 2015

Left Out..

Before begin this post, I would like to introduce myself for English speakers who might be accidentally reading my post,
I am not native speaker, and Thai is my first language. So, I would make a lot of mistakes, and some sentences could be unclear to understand. Additionally, writing skill is my weakness.

However, I'm trying to improve writing skill, through this method.
I would be appreciated for your understanding and respect. Plus, it would be wonderful if you correct some of my mistakes.

In this modern century, our connection goes in advance. As an international student, I never felt afraid of going aboard. Yet, I was so excited being " alone " in this long distance.

Let me just tell you guys a little bit about my background,
My family and I are super close to each other. I am the oldest among my siblings. I was raised strictly but fully of unconditional love from my parents. That is the reason why fly away from home is seemingly a massive thing.

I was not worried about far away from home, because technologies nowadays allows us to connect to each other just like we were home.
Yes, I initially felt that, only the first 6 months though.

First 6 months, everything was so new and amusing. I have loved being alone and I enjoyed this freedom. While, I am able to keep in touch with my family and friends.

Mainly, Thai people are using Facebook and Line application (one kind of chatting application) in order to connect to each other, either do I.
I update my life via Facebook and complain things to my people through the application.
I felt like, yeah I am still in a part of them, we are still talking, updating and close to each other just like we did when I were in Thailand.

Day by day, my feeling has been changing. Believe me, if you were an international student who are very close to your people, you would feel the same.
I am feeling " left out ".

Even though we keep chatting, "likes", "comments" or face time, I can feel the difference. I saw my best friends went out, had dinner, or traveled together. I saw my family were cerebrating Chinese new year (I am haft Chinese) they gathered together but there was not "me" in the picture anymore. I saw my friends posted my favorite food. etc.

Whereas, I see myself sitting "alone" and quietly scrolling down my phone screen.

Apparently, Connecting through social media is just " unreal ". I don't have real time with them. I cannot touch, hug, laugh, eat, and so on with my people, but they are doing.

Seemingly, social media makes people link each other. It is a tools of a world wide connection. Although It is easy, fast, and up to date, social media cannot replace any of " realists ". It cannot provide real feeling, real love, real laugh, real encouragement, and every kind of real.
 
Today, I was complaining about something. My best friends listened and encouraged me and they made me laugh.

Yes, I was laughing alone while they are laughing together.

I ended up with laughing with my sad and lonely tear, because this laugh was not "real".
I am feeling alone.. still.. 

Sunday 22 February 2015

ติ ด ห ว า น,,

วันนี้ทำงาน ทั้งหมด 8 ชม. เต็มไม่ได้พัก ,,
เลิกงานก็เลยนั่งแหมะ นั่งเม้าท์กับเพื่อนร่วมงานที่ร้านพักใหญ่

เพื่อนร่วมงานคนนี้เป็นเด็กใหม่ สัญชาติญี่ปุ่น

คุยกันไปคุยกันมา ไม่รุ มาถึงเรื่อง "อาหาร" ได้ยังไง,,

นางบอกว่า นางชอบอาหารไทยมาก
นางชอบผัดไทย กับข้าวผัดสับประรด..

เราเรยบอกนางว่า จริงๆแล้ว คนไทยไม่ได้กินผัดไทย และข้าวผัดสัปรดเป็นอาหารหลัก..
คนญี่ปุ่นก้ออึ้ง จิงงงงหรอออออออ

เราก็เรยเล่า พฤติกรรมการกินอาหารในแต่ละวันของไทยเอี้ยน ให้ฟัง,,

เล่าไปเล่ามา เราก้อทำให้เราหวนนึกถึงอะไรบางอย่าง,,
รู้สึกว่า .. เรากำลังเปลี่ยนไป..

ในขณะที่ใช้ชีวิตมาอยู่ที่นี่ 1 ปีเต็ม,,

------------------------------------------------

เราเปลี่ยนจากการเข้าร้านอาหาร " fast food แบบไทยๆ" ที่เสริฟร้อนๆ เร็วๆ มี Carbs, Protein, ซุป, ผัก บนจานข้าว มาเป็น " fast food แบบฝรั่ง" ที่ง่ายๆ ขนมปัง เนื้อ ชีท ประกบกันห่อในกระดาษ

เราเปลี่ยนจาก ตื่นเต้นกับกาแฟ Starbucks ที่นานน๊านนน จะกินที มาเป็น กินเกือบทุกวัน เพราะถ้าใช้เงินหน่วย ดอลล่า แล้วมันถูกกว่าที่ไทย

เราเปลี่ยนจาก ขนมซอง 5 บาท ที่ เปิดถุงมานับชิ้นได้กินพอหายอยาก มาเป็น โดนัท, มัฟฟิน, ครัวซอง ที่อยู่ที่ไทย แทบจะไม่ได้แตะ เพราะไม่คุ้มเงินจะซื้อ

เราเปลี่ยนจาก น้ำเปล่าขวด 5 บาท มาเป็นน้ำอัดลม เพราะมันถูกกว่าน้ำเปล่า..

เราเปลี่ยนจาก ผลไม้รถเข็น 3 ชิ้น 1 เหรียญ มาเป็น ... อืม.. เศษผลไม้จาก yogurt ไม่ก็ต้องซื้อเป็น 1 ลูก 3 เหรียญ..

เราเปลี่ยนจาก น้ำซุปใสๆ หอมเครื่องเทศ ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยว มาเป็น ซุปข้นๆจากครีม ,, นม ใส่มันต้ม

เราเปลี่ยนจาก หมูสับ มาเป็น หมูเบค่อน

เราเปลี่ยนจาก ชานมไข่มุก ไซส์ 250 ml. มาเป็น 750 ml.

เราเปลี่ยนจาก กินข้าวชามน้อยๆ กับน้อยๆ เนื่องจากแม่ค้า งก มาเป็น ชามที่มีปริมาณอาหาร 2 เท่าจากของเดิม..

ที่สำคัญที่สุด..
เราเปลี่ยนจากคน "ไม่กินหวาน" มาเป็น "ขาดหวานไม่ได้" ...
จากเป็นคน "ไม่กินมันๆ" มาเป็น "เบค่อน เนย ครีม"..
จากเป็นคนเคยกิน "พอประมาณ" มาเป็น "กิน 2 เท่าจากเดิม"

จำได้ว่า,,
แต่ก่อน มาแรกๆ กินโดนัท มัฟฟิน มันหวานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แล้วก็ไม่ค่อยซื้อ
เดี๋ยวนี้ กินแล้วเฉยๆ แถมกลับรู้สึก satisfied กับรสชาติ..
แถมพอไม่ได้กินไปวันนึง แล้วมีความรู้สึก.. เหมือนชีวิตขาดอะไรบางอย่าง.. และอยากกิน..

------------------------------------------------------

ดึงตัวเองกลับมาจาก ภวังค์ ..
และกำลังรู้สึกตกใจ กับพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปโดยตอนนี้ เพิ่งจะมารู้ตัว..

มันใช้เวลาเปลี่ยนมาเรื่อยๆ เป็นปี ,,
จนตอนนี้ กลายเป็นความ "เคยชิน"

ตอนนี้ผลกระทบเรื่องน้ำหนักคงไม่สำคัญเท่า "สุขภาพถาวร"
ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ นานกว่านี้ โรคไม่ติดต่อเรื้อรังคงได้ถามหาแน่ๆ ,,

ต้องทำอะไรสักอย่างแล้วสินะ
ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่อีกรอบ อย่างจริงจัง..


จิงๆแล้ว แค่อยากจะสื่อว่า

อาหารการกิน ,, คนไทย น่าอิจฉากว่าเยอะ
ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์
อาหารยากๆก้อมีคนทำให้แค่ออกไปซื้อหน้าปากซอย

แต่ก่อนเคยโหยหาแซนวิช ..
เคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ หรูหรา,,

ตอนนี้รู้สึกว่า แซนวิช เป็นอาหารที่ไม่มีอะไรเลย..
อยากอร่อยต้องหาวัตถุดิบที่ดีแค่นั้น
ขนมปังดีดี ชีทดีดี เนื้อดีดี

ไม่เหมือนอาหารของไทยเรา
กว่าจะมาเป็นข้าวจานนึง ใช้ส่วนผสมตั้งหลายอย่าง
มีทั้งเครื่องปรุงเครื่องเทศ
ไม่ใช่ทุกคน ที่จะทำอร่อย ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะทำเป็น

แถมหาซื้อง่าย และราคาถูก

ผลไม้ยังมีคนเฉาะ มีคนปลอกให้กิน..
ผักก็มีเยอะแยะให้เลือก ไม่ชอบผักขม ผักไม่ขมก้อมี

ขนมไทยเราก้ออร่อย และถูก
และดูเหมือนจะอ้วนน้อยกว่า ขนมฝรั่งเป็นไหนๆ

ตอนนี้คงต้องปรับตัวกันใหม่
คงลงแดง กับการเลิกอาหารหวาน, มัน, เค็ม ไปพักใหญ่ๆ
เพื่อสุขภาพระยะยาว

Wednesday 21 January 2015

เคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษ ให้ได้ผล ตอน 1

สวัสดีคร๊าาาาาาาาาาาาา ทุกคน ,,
ก่อนอื่นต้องขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ^/\^

ตอนนี้ ขอ เสนอ ตอน ,, เคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษยังไงให้ได้ผลค๊า

ทำไม ทำไมต้องแบ่งเป็น 2 ตอน ?
เพราะว่า เราคิดว่าการเรียนภาษาอังกฤษ มี 2 จุดประสงค์ด้วยกันค่ะคือ

1. การเรียนเพื่อเอาไปใช้ในชีวิตจริง
2. การเรียนเพื่อเอาไปสอบ

ตอนนี้ จะขอเริ่มต้นด้วย เรียนเพื่อเอาไปใช้ในชีวิตจริงก่อนแล้วกันนะคะ
เพราะว่าใกล้ตัวที่สุด

เริ่มเร้ย !

การเรียนภาษาอังกฤษ แบ่งออกเป็น 4 ทักษะ ใหญ่ๆ คือ ฟัง, พูด, อ่าน, เขียน
จริงอยู่ว่า พวกเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก ทำม๊ายยย ทำไม ยังพูดไม่ได้ ฟังไม่ทัน อ่านไม่คล่อง และเขียนไม่เป็น..

อาจจะเป็นเพราะว่า ตอนเราเรียนอยู่ที่ รร.นั้น เราค่อนข้างเน้นไปทางด้าน "เรียนไปสอบ" มากกว่าหน่ะสิ

เราขอเริ่มที่ทักษะแรกก่อนเลยค่ะ

" ฟัง "

การฟังนี่ เราคิดว่า เป็นเรื่องที่ฝึกง่ายที่สุด

การฟังเพลงอังกฤษ - แต่วิธี ก้อดีนะ เพียงแต่ว่า เราจะได้แค่คำศัพท์ พวก แสลง เยอะ แต่ครูเราไม่แนะนำนะ เพราะว่า เวลาที่เค้าเอาตัวหนังสือไปแต่งเป็นเพลง การออกเสียงมันจะไม่เหมือนเดิม แล้วรูปประโยคก็ไม่ไม่ได้เอามาใช้ในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่

เช่น เพลง All about that bass, no treble, treble
มันเป็นคำเปรียบเทียบ รูปร่างคน กับ โน๊ตดนตรีเฉยๆ
ว่า คนอวบๆอยู่ล่างเป็น bass ส่วน คนผอมจะอยู่สูงกว่าเป็น treble
ซึ่งงงงงง ในชีวิตจริง เค้าไม่พูดกัน,, ไรงี้

การฟังหนัง - วิธีนี้เราแนะนำมาก แรกๆใครยังไม่ชิน ให้เปิดเป็น subtitle ภาษาไทยไปก่อน
เพื่อดูบริบท ว่า สถานการณ์แบบนี้ จะใช้คำศัพท์แบบไหน ใช้ประโยคแบบไหน
ทำให้เราคุ้นเคยกับสำเนียง ของเจ้าของภาษาไปในตัว ค่อยๆ ซึมซับไปเรื่อยๆ ทำตัวตามสบาย

พอคุ้นเคยแล้ว ให้เรา เปิดเป็น subtitle เป็นภาษาอังกฤษ
อันนี้เราแนะนำว่า ต้องคุ้นเคยจริงๆนะ
ไม่งั้นจะทำให้หนังน่าเบื่อ ไม่สนุก ไม่เข้าใจ และทำให้เราไม่อยากเรียนรู้ก็เป็นได้
การเปิด subtitle เป็นภาษาอังกฤษ จะทำให้เราคุ้นเคยกับคำศัพท์มากขึ้น
และทำให้เรารู้จริงๆว่า ตกลงแล้วมันออกเสียงยังไง
ถ้าคำไหนสงสัยจริงๆ เราก็จะได้ไปเปิดดูคำแปล

แต่เราแนะนำว่า ไม่ต้องเปิดมันทุกตัวนะ
(ถ้าเปิดมันทุกตัวจะดูจบเมื่อไหร่ฟร่ะ)
ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ก็ไม่เป็นไร

แต่ ,, ถ้าเกิดว่า ไม่เข้าใจมันหมดทั้งเรื่องเรย แนะนำว่า ให้กลับไปเปิด subtitle เป็นภาษาไทยไปก่อน
แสดงว่าเรายังไม่พร้อม จะเปิดเป็นภาษาอังกฤษ

ฟังนั่นโน่นนี่ จิปาถะ ใน Youtube - ฟังมันไปเถอะค่ะ วันละนิดวันละหน่อย search สิ่งที่เราสนใจ
เช่น อย่าง จขบ ชอบ ดูเค้าทำอาหาร แทนที่เราจะค้นหาเป็นภาษาไทย เราก็พิมพ์ ภาษาอังกฤษซะ
เพราะเดี๋ยวนี้ รายการทำอาหารเยอะมากใน Youtube มันจะทำให้เราซึมซับ วิธีการพูด คำศัพท์ ไปในตัว

เช่น ในไข่ 2 ฟองลงในถ้วยนี้แล้วคนให้เข้ากัน
ถ้าให้แปลตรงๆจากคนไม่เคยฟัง เราอาจจะแปลว่า
put 2 eggs into this bowl and stir it together.

แต่พอเราฟังบ่อยๆ เราก็จะคุ้นๆว่าจิงๆแล้ว เค้าพูดกันว่า
to this bowl, I'm gonna add 2 eggs and give it a stir.

แต่ทั้งๆนี้ทั้งนั้น 2 ประโยคนี้มันก็ไม่ได้ต่างกันมาก เข้าใจเหมือนกัน
แต่ประโยค 2 จะดูแบบ เห้ยยย เกร๋ใกล้เคียงเจ้าของภาษากว่า
ฝึกทั้งทีเนอะ ฝึกให้มันถูกต้องไปเลย ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร

การดูไปฟังไปเนี่ย มันจะทำให้เราเห็นภาพ แล้วทำให้เราจำบริบทของภาษาง่ายขึ้น
คือ เราเดาได้ว่าคำศัพท์มันแปลว่าอะไร โดยที่ไม่ต้องเปิด dictionary

ฟังแบบนี้แหล่ะ ทุกวัน ฟังบ่อยๆ มีเวลาว่างก็ฟัง ไม่ว่างก็โหลดเก็บไว้ในมือถือแล้วฟัง
เชื่อเรา แล้วจะฟังดีขึ้นเรื่อยๆเอง =)

-----------------------------

" อ่าน "

คอนเซปเดิมป้ะ อยากได้อะไร ก็ฝึกอันนั้น
อ่านก็เหมือนกัน

แต่เราแนะนำว่า ให้อ่านสิ่งที่เราสนใจก่อน เริ่มจากง่ายๆ อย่างนิทานเด็ก
แล้วค่อยไป นวนิยายเด็ก แล้วค่อยเขยิบไปเรื่อยๆ
อย่าไปกระโจน ตู้มมมมมม ใส่สิ่งที่ยากๆ มันจะทำให้เราต้อแต้ใจได้ (อันนี้ จขบ เป็น คนอื่นเป็นป่าวไม่รู้ 555)
เพราะตอนแรก จขบ เลือกอ่านเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งลี้ลัพท์ทางศาสนาวิญญาณ ไรงี้
ง่อยค่ะ ง่อยมาก พังๆ กำลังใจระเบิดกระจัดกระจาย ไม่มีเหลือ
เรยคิดว่า เรามาเริ่มอะไรง่ายๆก่อนดีมั๊ย ,,

เราเรยหันมาเริ่มจาก นิทานเด็ก เราไปห้องสมุด ไปหานิทานเด็กมาอ่าน
เรารู้มันติ๊งต๊อง คือ มันติ๊งต๊องจริงๆ
แบบ สิ่งโตตัวใหญ่เดินมา เจอช้างสีเทาตัวใหญ่ เค้าคุยกัน เห้ !...
ฮืมมม แต่ต้องอดทนนะ โอเค๊

พอเราคุ้นเคยแล้วเริ่มคิดว่า เห้ย มันง่ายเกินไปล้ะให้ไปต่อที่
นวนิยาย เด็ก เช่น The hunger games, Harry potter ฯลฯ ที่เราสนใจ พอคุ้นแล้วค่อเขยิบขึ้นไปเรื่อยๆ

อย่างตอนนี้ จขบ กำลังเริ่ม อ่านหนังสือ นวนิยายของวัยรุ่นอยู่
ซึ่ง คำศัพท์ รูปประโยค มันก็จะยากขึ้น

หลังจากนั้น ก็ค่อยๆยากขึ้นเรื่อยๆ เป็น นวนิยายเด็กโต ผู้ใหญ่ หนังสือพิมพ์ บทความ

อ่านไปเถอะ อ่านน้อยอ่านมาก อ่านที่เราสนใจ ขอให้อ่านวันละนิดวันละหน่อย

เคล็ดลับค่ะ

" อย่า แปล มัน ทุก คำ " อย่าไปแปลมันค่ะ ปล่อยผ่านมันไปบ้าง ถ้าเราแปล ทุกคำที่เราไม่รู้
เราจะไม่มีทางอ่านจบ เราจะเบื่อ เราจะท้อ และอ่านไม่เข้าใจ

วิธีการอ่าน คือ อ่านเป็นประโยค อ่านให้เป็นก้อนๆไป ถ้าคำไหนที่เป็น key word แล้วเราไม่รุจริงๆ
ค่อยเปิด dictionary ที่เป็น "ภาษาอังกฤษ" แนะนำค่ะ จนกว่า จะ ไม่เข้าใจ๊ ไม่เข้าใจจริงๆ
ให้ dictionary ภาษาไทย เป็น ตัวเลือกสุดท้ายเถอะค่ะ

ทำไม ?

1. การแปลทุกคำ ไม่ได้ใช่ทำให้จำคำศัพท์ได้ และทำให้เรา "ไม่เข้าใจทั้งประโยค"
2. การแปลทุกคำ ทำให้น่าเบื่อ
3. ครูบอกว่าให้เราอ่านเป็น chunk (ชิ้นใหญ่ๆ) ทำให้เรา เข้าใจภาพรวมของประโยค
4. dictionary ภาษาอังกฤษ ทำให้เราแปลความหมาย ได้เข้าถึงประโยคภาษาอังกฤษมากกว่า
เพราะคำแต่ละคำในภาษาอังกฤษ มันแปลได้หลายความหมาย ขึ้นกับประโยค
หรือ คำที่แปลเป็นไทยแล้วคล้า่ยๆกัน แต่จริงๆแล้ว ใช้ต่างกัน

แต่ก็ไม่ต้องฝืนตัวเองมากเกินไป จนทำให้ไม่อยากเรียนรู้ภาษาอังกฤษนะ
เอาสบายๆ ไม่เข้าใจจริงๆ ค่อยเปิดเป็นภาษาไทย ก็ไม่เสียหายอะไร

การเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่า เรารู้คำศัพท์ มากน้อยแค่ไหนนะ
เราคิดว่า การอ่านที่ดีเนี่ย จริงๆแล้ว มันขึ้นกับว่า

"เราเข้าใจใจความสำคัญของเนื้อเรื่อง" หรือไม่มากกว่า

----------------------------------------

" พูด "

อันนี้เราคิดว่า เป็นทักษะที่ฝึกยากสักนิด สำหรับคนเรียนในไทย
เอาจริงๆ จะให้มานั่งจับกุ่มคุยกันเป็นภาษาอังกฤษทุกวันมันก็กะไร (แต่เอาจริงๆถ้าทำได้จะดีมาก)

คนไทยมีปัญหาค่ะ .. ไม่ได้มีปัญหาในการฝึกฝนนะ แต่มีปัญหากันเอง ..

มองกันเองว่า โชว์บ้าง กระแดะบ้าง ดัจริตบ้าง อันนี้ต้องยอมรับ.. หรือไม่จริง ?
ทำให้ คนเราไม่กล้าพูด ไม่กล้าฝึกฝน

ขอเริ่มอย่างแรกก่อนเรยถ้าจะฝึกพูด

" อย่ากลัว " พูดดดดดดดดดดด จงพูดดดดดดดดดดดด พูดไปเถอะค่ะ ผิดถูก พูดเลย
ขอแค่ให้ได้พูดออกไป grammar ไม่ต้องสนใจ อย่าไปคิดว่า คนอื่นจะคิดยังไง
ถ้าไม่ได้พูด ก็พูดไม่ได้

เคล็ดลับค่ะ
ให้พูดกับตัวเอง เช่น วันนี้จะทำอะไรบ้าง, กินอะไรดี, คิดไม่ออก ฯลฯ
บ่นกับตัวเอง เป็นภาษาอังกฤษซะ
ถ้าเจอฝรั่ง ให้วิ่งใส่ จะด้วยความหื่นส่วนตัว หรือหวังดีช่วยบอกทาง ก้อแล้วแต่
พูดกับตัวเองในกระจกก็ได้

ข้อดีค่ะ เราจะพูดได้มากขึ้น
ข้อเสียค่ะ เหมือนคนบ้า 5555 (แต่ได้ผลนะ !)

ซื้อหนังสือที่เป็นบทสนทนาภาษาอังกฤษมาฝึกพูด
ย้ำ ฝึกพูดนะ ไม่ใช่ซื้อมานั่งอ่านนะก้ะ อันนี้ใครๆก็ทำได้ แต่พูดไม่ได้เด้อ
แต่ก็เลือกหนังสือที่น่าเชื่อถือได้ด้วยนะ
เพราะ เราแอบเห็นหนังสือสอนภาษาอังกฤษบางเล่ม เหมือนไม่ตั้งใจทำเรย.. ยังสอนผิดๆถูกๆ

พูดตามหนัง หรือสิ่งที่เราฟัง หลายๆครั้ง ลอกเลียนแบบ ให้เหมือนที่สุดเท่าที่จะทำได้
อัดเสียงตัวเอง แล้วเปิดฟังเสียงตัวเองค่ะ
(เรารู้ว่ามันแปลกๆ เราก็ไม่ชอบฟังเสียงตัวเอง คือ ลองทำครั้งแรกแล้ว ขนลุกยันขนตูด เบ๊ปาก 10 ระดับ)
แต่วิธีนี้ได้ผลจริงๆ แล้วจะรู้ว่า เราพูดได้ใกล้เคียงหรือยัง
แล้วหลังจากนั้น สมองเราจะจำมันเข้าไปเอง

เหมือนกับคำว่า fuck you ทำไมรู้ ทำไมพูดกันได้คล่องเชียะ แหมะ..

" สำเนียง " ไม่จำเป็นต้องเป๊ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าต้องปล่อยจนเหมือนไม่พยายาม
หลายๆคนอาจจะคิดว่าสำเนียงเป็นสิ่งไม่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น อาจจะทำให้คนมองกระแดะ..

ก่อนอื่นให้ลองนึกภาพก่อนนะ ว่าเวลาฝรั่งพูดภาษาไทยแล้วถ้าเค้าไม่พยายามเลย เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง
คำบางคำก็ทำให้เพี้ยนไปเช่น สวย เป็น ซวย ,,

เหมือนกันค่ะ ถ้ายิ่งเป็นฝรั่ง ที่ไม่คุ้นเคยกับคนเอเชีย เค้าจะฟังไม่ออกเรย
เช่น เรื่องเพิ่งเกิดวันนี้เรย
จขบ ร้องเพลงค่ะ
take me to shirt... เพื่อนขำกระจายค่ะ เพราะออกเสียงคำว่า church ผิด..
หรือ ในกรณีที่ serious กว่านั้น
คนญี่ปุ่นค่ะ แทนที่จะพูดว่า Can I have a coke ? นางๆพูดกันเป็น Can I have a cock ?
ฮืมมมมม ,, เราเองก้อเป็น ผู้หญิงอ่านะ ก็ไม่รุจะให้นางยังไงดี .. เห้ย !

เพราะฉะนั้น ตอนนี้สำเนียงสำคัญ ยัง ?

แต่ถ้าใครฝึกแล้วรู้สึกอึดอัด ยังไม่ใช่ ไม่ต้องฝืนมาก เอาเท่าที่เราทำได้ แต่ก็ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย
จนเหมือนไม่ได้พยายามอะไร ไหนๆก็จะฝึกแล้ว ฝึกให้มันถูกต้องดีกว่าเนอะ

เคล็ดลับ
dictionary ที่พูดได้ ดีที่สุด ไม่แนะนำให้อ่านคำอ่าน ภาษาไทยค่ะ เพราะการอ่าน ไม่ได้ช่วยให้เราออกเสียงได้ถูกต้องเลย เช่น
teacher เราเรียนกันมาว่า ทีชเช้ออออออออออออออออร์
แต่จริงๆแล้ว ทีชเช่อะ..(เอาจริงๆภาษาเขียนตอนนี้ก็ยังไม่ใช่)
เพราะฉะนั้น ฟังเอา แล้วพูดตาม จะดีที่สุด

แต่ถ้าใครไม่มี ไม่ต้องซื้อ เดี๋ยวนี้ online dictionary มีเยอะแยะที่ให้กดฟัง
ฟังแล้วก็พูดตามดูเนอะ ไม่เสียหายอะไร

เรื่องการพูด ที่สำคัญอีกอย่างคือ "ทัศนคติ" ค่ะ
จงมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเองและการฝึกฝน
เปลี่ยนทันศนคติจาก "กระแดะจัง" มาเป็น "พูดชัดจัง" กันดีกว่า นะคะ !

---------------------------

" เขียน "

มาถึงทักษะสุดท้าย ที่ไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิตประจำวัน
ถ้าใครที่แบบ ไม่ได้ทำงานที่ต้องติดต่อสื่อสารโดยการเขียนจริงๆ อันนี้ก็ไม่จำเป็นต้องฝึกมาก

การเขียนสิ่งที่ยากคือ "กูไม่รู้ว่ากูเขียนถูกมั๊ย"

ใช่เรยค่ะ มันเรยกลายเป็นทักษะ ที่ฝึกกันลำบากที่สุด

โดยประสบการณ์ การเขียนต่างจากการพูดมาก
และถ้าใครเพิ่งเริ่มเขียน จะเริ่มเขียนแบบ "ภาษาพูด" ซะมากกว่า

แต่อันนี้ ถ้าใช้แค่สื่อสาร แบบ ธรรมดา ไม่ได้เอาไปใช้เรียนต่อ ก็เขียนไปเถอะ
เอาแค่ว่า เชคดูให้ดีว่า เราเรียงรูปประโยคถูกมั๊ย
อันนี้เราเขียนเป็นประโยคแล้วหรือยัง เช่น บางที จขบ เขียนประโยคนึง แล้วมันไม่มีคำ กริยาเลย
มันก็ไม่ใช่ประโยค อะไรงี้

เริ่มต้นที่เขียน diary เป็นภาษาอังกฤษ
วันนี้ไปเจออะไรมาบ้าง รู้สึกยังไงบ้าง อยากจะบอกอะไรกับตัวเองบ้าง
อยากเขียนอะไรก็เขียนว่างั้น

เช่น วันนี้เจอหมา แต่จะให้ดีก็ อธิบายเพิ่มไปก็ได้ว่า หมาลักษณะยังไง สองตา สีดำ ฯลฯ

แต่ถ้าต้องการเอาไปสื่อสาร อย่างเช่นจดหมาย
สิ่งที่สำคัญควบคู่ไปกับการเขียนให้ถูกต้องคือ "การเขียนให้สุภาพ"

จ่าหน้าซองยังไง ลงท้ายยังไง อันนี้เปิด internet เอาก็จะมี หรือถามผู้รู้

ถ้าอยากเช็ค grammar เดี๋ยวนี้ ตาม website บางอัน ก็มีให้เชค online ฟรีแล้วก็มี
ก็ไป search ดู แล้วก็ copy สิ่งที่เราเขียนลงไป แล้วมันก็จะตรวจให้เรา "คราวๆ"

แต่ electronic ก็ทำได้แต่เชค grammar อ่านะ เชคเนื้อหาที่เราเขียนว่าเราเขียนรู้เรื่องมั๊ย
ใช้คำศัพท์ ถูกต้องกับ บริบทหรือเปล่า มันเชคไม่ได้

เคล็ดลับ
อยากเขียนคล่อง ก็ต้องอ่านเยอะๆค่ะ มีแค่นี้จริงๆ
เพราะการอ่าน จะทำให้เราซึมซับ รูปประโยค คำศัพท์ การเรียงรูปประโยค

และให้จำไว้ว่า เราคือ writer ไม่ใช่ translator เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราเขียนออกมา
ถ้าไม่ใช่คนไทยให้คนไทยอ่านด้วยกันอาจจะไม่เข้าใจเลยก็ได้

เพราะจากประสบการณ์ ช่วงแรกๆที่ จขบ เขียนส่งครู
ครูบอกว่า ไม่เข้าใจที่เทอเขียนมาเลย ... ตึง ..
 และถ้าให้เราไปอ่านของคนจีนเขียน เราก็ไม่ใช่ใจมันเหมือนกัน ไรงี้
 
แต่ ! ไม่ต้องเสียใจ ทักษะนี้ฝึกกันยากจริง และถ้าไม่จำเป็นต้องใช้ในการเรียน
ก็ไม่ต้องไป ซีเรียสกับมันมาก เขียนเป็นภาษาพูดให้สุภาพ ก็พอ

--------------------------------

จบแล้บววววววววว กับ เคล็ดลับเบาๆ กับการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล
" ตอน เรียนเอาไปใช้ ในชีวิตประจำวัน "

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด
การเรียนภาษาอังกฤษ ให้ได้ผลต้องมี 2 สิ่ง ที่ขาดไม่ได้เลยคือ

1. " ใจ "
ใจต้องอยากเรียนรู้จริงๆ ไม่ใช่มาเหยาะๆแหยะๆ เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง
เพราะถ้าใจ เราไม่อยากเรียน ต่อให้เสียเงิน เป็นแสนเป็นล้าน ไปเรียนต่างประเทศ ก็ไม่ได้อะไร
จะไปลอง program ที่สถาบันชื่อดังที่มีพรีเซนต์เตอร์เป็นคนแลบลิ้นออกมาเป็นธงชาติอังกฤษ
มันก็ไม่ได้ผล ถ้าเราไม่ฝึกฝนเองด้วย ไม่ไปเรียนเองด้วย

ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับเราเอง ทำไม่ได้ อย่า blame คนอื่นเนอะ

2. " เวลา "
" No one can become a genius just overnight "
เวลาคือตัวแปรสำคัญของการเรียนภาษาค่ะ
เราไม่สามารถวัดได้ว่าเราเก่งขึ้นมากน้อยแค่ไหน
และเราไม่มีทางเก่งขึ้นแค่ข้ามคืนแน่ๆ

ของแบบนี้มันต้องใช้ เวลาฝึก แล้วค่อยซึมซับไปเรื่อยๆ
ลองนึกย้อนไป ตอนเราเกิดมาเราก็พูดไทยไม่ได้เลย
เราต้องฟัง หลังจากนั้นพูดตามมา แล้วเราค่อยมาอ่าน แล้วถึงจะเริ่มเรียนเขียน
เราต้องใช้เวลาเท่าไหร่กันเชียว กว่าจะมาถึงจุดๆนี้ได้

อย่าไปฝืนตัวเองมากจะเครียดแล้วท้อแท้
แต่ก็ไม่ใช่ปล่อยตัวตามสบายจนการฝึกฝนไม่ไปไหน

อยากพูดได้ อยากฟังได้ อยากอ่านได้ อยากเขียนได้
ก็ "อย่าท้อแท้" ,,

จขบ ไม่ได้เป็นคนเก่งมาก่อน (ตอนนี้ก็ไม่ได้เก่งอะไร)
ตอนเรียน ที่ รร. ก็เหมือนทุกคนแหล่ะ
เรียนเพื่อสอบ ไม่เคยจำ ไม่เคยใช้
แต่เนื่องจาก จขบ อยาก "ใช้ภาษาอังกฤษเป็น" 
ก็ฝึกมาเรื่อยๆ ถ้าเราทำได้ เราเชื่อว่าทุกคนก็ทำได้เหมือนกันค่ะ
ไม่ต้องเอาให้แบบ โห น้ำไหลไฟดับ พูดเสร็จคนยืนปรบมือ หรอก
เอาชีวิตรอด ทำงานได้ สื่อสารรู้เรื่อง แค่นั้นก็ ชมตัวเองได้แล้ว =)

เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ

จบแล้วจริงๆ สำหรับตอนนี้
ตอนหน้า เราจะเขียนเป็น เคล็ดลับในการใช้เพื่อเอาไปสอบเนอะ
เราจะมาแนะนำหนังสือ ดีดี, application ดีดี เคล็ดลับดีดี ที่เคยผ่านจากประสบการณ์มาแล้วกันเนอะ

สำหรับวันนี้ ,, เที่ยงคืนล้ะ

Have a nice day from Vancouver นะค๊า

Wednesday 14 January 2015

มาเรียน "ภาษา" ที่ต่างประเทศ 2

กลับมาอัพเดทเรื่องราวการเรียนภาษาอังกฤษอีกครั้ง
หลังจากที่หายไปนานมากกกกกกกกกกกก,,

ความเดิมตอนที่แล้ว..
จขบ. ได้พูดถึงการเรียนภาษาที่ต่างประเทศ แบบไม่จริงจังเท่าไหร่

ภาคนี้ เราจะมาแนะนำการเรียนที่ "จริงจัง" สำหรับคนที่คิดว่า
เออ ไหนๆ มาเรียนภาษาแล้ว ก็อยากได้อะไรกลับไปแบบ จริงจัง บ้าง,,

3. Academic English

นี่เลยค่ะ ถ้าอยากจริงจัง โปรแกรมนี้เป็นการเรียนที่เป็นการเตรียมความพร้อมภาษาอังกฤษ
สำหรับเข้าไปเรียน high school, college, หรือ university ของที่นี่

เป็นการเรียนที่จริงจังมาก

ระยะเวลานี่ แล้วแต่ทาง โรงเรียนจะกำหนด
อย่าง รร.ที่ จขบ เรียนอยู่ จะแบ่งออกเป็น 6 level, level ละ 2 เดือน

เพราะฉะนั้น ทุกๆวันที่ไป โรงเรียน จะเป็นการเรียนและสอบ อย่างเข้มข้นยิ่งกว่า วีต้าเบอร์รี่
จขบ ขออนุญาติ พูดถึงเลเวลตั้งแต่ 4 ขึ้นไปนะ เพราะว่า ตอนเราสอบวัดระดับเราได้ เลเวล 4

Reading skill นี่สุดๆ ต้องฝึกอ่านให้เร็วมาก ต้องอ่านบทความเป็นร้อยๆหน้า
คำศัพท์นี่ไม่ต้องพูดถึง รู้คำแปลอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ให้เป็น
แล้วคำศัพท์ที่เป็นแนว academic มันไม่ใช่แบบแปบบตรงๆนะ

สมมติ คำว่า "เฉือดเฉื่อน" เราไม่สามารถพูดว่า วันนี้เราจะ เฉือดเฉื่อน ปลา ...
มันผิด !

อธิบายทำนองนี้พอนึกออกช่ายป่ะ ว่าการใช้คำศัพท์ให้เป็นประมานไหน

เพราะฉะนั้น การท่องศัพท์ เป็นนกแก้วนกขุนทอง ลืมไปได้เลย
จำได้แต่ใช้ไม่ได้ ก็เท่านั้น

ยัง ! ยังไม่หมด เราต้องรู้ด้วยว่า family ของคำศัพท์ มีกี่คำ
noun, adjective, adverb, verb เวลาเราเอาไปเติมในประโยค ก็ต้องเปลี่ยนให้มันเป็นรูปที่ถูกต้อง

เช่น เค้าคุยกันเฉื่อดเฉื่อนในห้องประชุม ผิด ! มันต้องเป็น เค้าคุยกัน อย่าง เฉือดเฉื่อนในห้องประชุม
ทำนองนั้น

และ คำบางคำมันก็จะมี preposition ที่ติดตามกันมา ก็ต้องใช้ให้ถูกอีก.. เช่น

consist with ผิด ! ต้องเป็น consist of..
มัน ยากมากกกก ! 

ถัดมาก็เป็น writing skill

อันนี้ไม่ต้องพูดถึง โดยส่วนตัว ก็ไม่เคยเขียนภาษาอังกฤษที่จริงจังขนาดนี้มาก่อน
ต้องมี citation ที่ถูกต้อง ไม่งั้นเค้าจะเรียนกว่า plagiarism ซึ่งที่นี่ ผิดกฏหมาย และจริงจังมาก

ใครเอาคำพูดใคร หรือบทความ หรือบรรทัดไหนอะไรใครมา แล้วไม่เปลี่ยนรูปประโยค, คำศัพท์
เขียนใหม่ให้เป็นของตัวเอง แล้ว ใส่ reference หล่ะก็ ... ตกจ้า ! เค้ารับมิล่าย

เพราะฉะนั้น คำศัพท์ก็ต้องรู้ให้มาก รู้อย่างเดียวไม่พอต้องใช้ให้ถูกด้วย เช่น

คำว่า induce เราใช้แทนคำพวก influence เลยไม่ได้
ต้องดูด้วยว่า รูปประโยคเป็นยังไง ใช้แทนกันได้มั๊ย เพราะ induce มันไม่ได้มีไว้ใช้กับคน
อะไรทำนองนั้นเป็นต้น

สมมติว่าเราเราจะเขียนคำว่า food ใน 500 words essay เราก็จะพูดแต่ food food food ซ้ำๆกัน
แบบนี้ก็ไม่ได้ ต้องหาคำคล้ายๆ มาใช้แทน เช่น cuisine หรือเจาะจงไปเลยว่าเป็นอาหารอะไร

ในเลเวล 6 เราต้องเขียน 1500 words essay ด้วยกัน.. ฮึ่มม ,, เหมือนน้อยนะ นี่ใช้เวลา 1 เดือนกันเรยทีเดียว เราไหนจะ citation ตัวอย่างเอย grammar เอย คำศัพท์เอย

คำกำกวมก็ใช้ไม่ได้นะ เช่น

get คำนี้ ครูไม่ให้ใช้เลย เพราะมันแปลได้หลายความหมาย ไม่เอา ให้เจาะจงเลยว่าเรา get ยังไง

เช่น I got an Iphone 6. ครูบอกว่ามัน got ได้หลายทาง ซึ้อมาหรอ ? ขโมยมา ? หรือใครให้มา
เจาะจงไปเรย ห้ามมีคำนี้ใน essay..

อะไรทำนองนั้น

พวกสรรพนามเช่น he, she, it, they ก็ต้องใช้อย่างระวัง

คือพวกเราถูกสอนให้ ใช้คำพวกนี้แทนคำนามที่กล่าวถึงไปแล้วใช่ป้ะ..
แต่จริงๆแล้ว ในการเขียน ถ้าเรากล่าวถึงหลายๆอย่าง เราจะเขียนผิดทันที
เพราะเค้าไม่รุว่าเราใช้แทน สรรพนามตัวไหน

เช่น

Jim gave Tom an Iphone. He was so happy. คือ มันไม่ชัดเจน he นี่ใคร ! ใคร happy..

ที่เค้าต้องฝึกเราให้ได้ เพราะเวลาเราไปเรียนที่ รร.จริงๆแล้วเราต้องเขียนสื่อสารให้ professor เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ต้องเขียนให้ได้ ใช้ journal ให้เป็น ทำ reference ให้เป็น

ต่อมาเป็น speaking skill

เค้าก็จะให้เราฝึกออกไปทำคำถามสำรวจความคิดเห็น ทำสถิติ แล้วมาพรีเซ้นต์
ต่อมาก็ฝึก debate แบบ สุภาพ ให้เป็น ฝึกใช้ ข้อมูลที่หามา และฝึกใช้ประโยคที่ควรจะพูดให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด

ตอน level 5 จำได้ว่า เค้าจะให้เราไปฟังหนังสือนิทาน ในยูทูป แล้วอ่านตาม อัดเสียง ฝึกพูดแล้วส่งเป็นการบ้านไป

ส่วนใหญ่แล้วเค้าจะฝึกให้เรา พรีเซ้นต์ให้เป็น ฝึกพูดให้รู้เรื่อง แล้วก็ฝึก debate

อันนี้ จขบ ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ ไม่ค่อยกลัวการพรีเซนต์ เป็นคนพูดมากอยู่แล้ว 555

สุดท้าย listening skill

อันนี้ก็เป็นอีกอันที่ปรับตัวค่อนข้างมาก

ถ้าใครสนใจเรียนภาษาอังกฤษน่าจะรู้จัก TED talk คือ จะฟังประมานนั้น
แล้วเค้าก็จะ blank ให้เราเติมคำ

ต่อมาเค้าจะให้เราฝึก take note เราต้อง take note ให้ได้แล้วก็ทำสรุปว่าฟังได้อะไรบ้าง
ต้องเอา note เรามาใช้ในการตอบคำถามในขั้นต่อไปให้ได้

แล้วแต่ละครั้ง มันก็จะ เร็วขึ้น และนานขึ้นเรื่อยๆ

จำได้ว่า ข้อสอบครั้งสุดท้ายคือเรื่อง history และ ความยาว 1 ชม. ...

กรี๊ดดดดดดดดดดดดด .. คือ ทำไมต้อง history ชั้นไม่ถนัดมาก แต่ก้อผ่านมาได้ เห้ !

อันนี้เป็นคร่าวๆของการเรียนภาษาอังกฤษแบบจริงจังแนว academic English.

แต่รับรองว่า มันพัฒนาจริงๆ คือ มันจำเป็นต้องพัฒนาหน่ะ.. 555

----------------------------

ต่อมาเป็นการเขียไปเรียนใน college หรือ university

อันนี้ก็ได้ภาษาจริง .. ถ้าไมไ่ด้คงจบไม่ได้อะนะ

คือก่อนจะเข้าไปเรียนใน college หรือ university ได้ ก็ต้องผ่านด่านอย่าง academic English มาก่อน
หรือไม่ก็ต้องผ่าน IELTS  6.0 ขึ้นไป แล้วแต่ รร. เค้าตั้งกฏไว้เท่าไหร่
แต่ถ้าสอบไม่ผ่านสักที ไม่เป็นไร ให้เราไปลงเป็น academic English ของ โรงเรียนนั้นๆไปเลย
แค่เรียนให้ถึงจุดที่เค้าต้องการ ก็จะได้เข้าไปเรียน ตาม program ที่เราต้องการ

แต่เข้าไปแล้วเชื่อได้เลยว่า ยังไงภาษาก้อพัฒนาอีก (ถ้าไม่ติดว่าเอาแต่อยู่กับคนชาติเดียวกันมากเกินไปนะ) อ่ะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องอ่านคล่องเวอร์
เพราะว่าที่นี่อ่าน text book กัน เป็น สิบๆเล่มเรยค่ะ วันนี้ก็ต้องเป็น ร้อยๆหน้า

ส่วนการฟังนี่ก็ต้องเก่งขึ้นอยู่แล้ว เพราะอย่างน้อยๆก็ต้องฟังครูสอนทุกวัน

ส่วน เขียนได้ยินมาว่า เค้าเขียนกันเป็น พัน สองพัน สามพัน สี่พัน เวิด อันนี้ก็แล้วแต่กันไป

การพูดเราไม่แน่ใจ เพราะจริงๆแล้วการพูดนี่เรียนได้รอบตัวอยู่แล้ว ขอแค่พยายามพูด คุย กับคนหลายๆคน (กับ native speaker) เราก็จะได้มาเอง แต่อย่าง รร. ที่ จขบ เรียนอยู่ เค้าจะเน้น การทำงานเป็นกลุ่ม เพราะฉะนั้น ยังไงก็ต้องพูด เพราะเราคงไม่สามารถนั่งทื่อ มันได้ทุกๆ assignment หรอกนะ,,

----------------------------------------

จบแล้ว กับภาค การเรียนภาษาจริงจัง

รับรอง ถ้าเกิดว่าอยากกลับไปแบบ ภาษาแน่นๆหน่อย ก็แนะนำ 2 โปรแกรมนี้ล้ะกันเนอะ

แต่ถ้าสมมติว่า ใครแค่หาข้อมูล ยังไม่รู้ว่าเราจะจริงจังขนาดไหน
ก็แนะนำให้ไปลงเป็น ESL ก่อน ดูว่า เราโอเคมั๊ย ไหวมั๊ย พร้อมยัง กับการต้องเข้าไปเรียนจริงจัง
มันพอกับความคาดหวังของตัวเองก่อนมาหรือเปล่า ทำนองนี้

ถ้า ESL ยังไม่ตอบโจทย์ ยังได้ไม่มากพอ ก็แนะนำค่อยเลื่อนขั้นเป็นพวก academic English หรือเข้าไปเรียนใน college, university แทน

แต่ถ้า ชิลๆเรียนไปเที่ยวไป ไม่ได้คาดหวังอะไร ESL ก็ ตอบโจทย์แน่นอน
เรียนสนุก เที่ยวสนุก (ต้องมีเงินเที่ยวด้วยนะ 55)

ทั้งหมดก็มาเท่านี้ สำหรับภาคการเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศ

หวังว่ามันคงจะช่วยให้เข้าใจกับการ บินไปไกลๆ เพื่อภาษาเนอะ
และก็จะได้ตั้งความคาดหวังกันถูกกว่า จะได้อะไรกลับไปยังไงเท่าไหร่ เนอะ,,

เจอกันบทหน้า เขียนอะไรดีหล่ะ ? =)

14 มกราคม 2558
จาก เมือง Vancouver,,