ตอนแรกกะว่า มีเวลาจะมีเขียนตอนต่อไปของการเรียนภาษาอังกิดที่ ตปท.
แต่วันนี้ เปลี่ยนใหม่เป็นเขียนเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอมาแทน (ไม่มีเวลากูก้อจะเขียน 5555)
ท้าวความ (เขียนงี้ป่าวว้ะ),,
จขบ (เจ้าของบล๊อก) ปกติทำงานอยู่ร้านกาแฟชื่อดังในแคนาดา
เป็นออกแนว fast food
หลักๆก็ มีกาแฟ มีแซนวิช มีเบเกิ้ล มีซุป มีมัฟฟิน และมีโดนัท
วันนี้ก็เป็นวันทำงานปกติ และเช่นเคย มีเป็นช่วงเวลาเร่งรีบ
เพราะตัวตึก เป็นตึกเดียวกันกับ college ชื่อดังในแคนาดา
เพราะฉะนั้น คนก็จะมีต่อคิวกัน ซื้อกาแฟซื้อของกินตามประสาคนไปเรียน (Part-time)
บวกกับ สาขาเจ๊หน่ะ ลูกค้าต่างชาติเยอะ เพราะว่ามันติดสถานีรถไฟฟ้า สถานีชื่อดังย่านในดาวทาวน์
ตอนนั้นมีคนทำงานประมาน 6 คนได้ แต่มันมี cashier อยู่ 3 Cashiers
หลักการทำงาน ก็จะประมานนี้
มี 1 คนอยู่ตำแหน่ง soup and sandwich ก็ชัดเจน รับ order แล้วก็ทำเสริฟ
มี 2 คนอยู่ cashier มีหน้าที่ รับ order เก็บเงิน ถ้าไม่มี runner ช่วงนั้นก็ เป็นคนเสริฟในคนๆเดียวกัน
มี 1 คน เป็น runner ซึ่งก็ทำหน้าที่ เสริฟกาแฟ หยิบขนม ช่วย cashier
มี 1 คน เป็น supervisor ทำทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่หน้าที่หลักๆคือ baker ข้างหลังร้าน
เนื่องจากว่า จขบ ทำงานมาได้สักพัก (ใหญ่ๆ) ทำงานค่อนข้างคล่องตัวแล้ว เรยสามารถ stand by
เป็นทั้ง cashier และ runner ในคนเดียวได้ เลยเป็น independent ครองอยู่ 2 cashiers
เพราะว่า บางครั้ง ลูกค้าจ่ายเงินช้า หรือยืนเก็บของนาน เราก็จะย้าย ไปย้ายมา เพื่อจะได้ เสริฟลูกค้าคนอื่นๆเร็วขึ้น
เรื่องมีอยู่ว่า,,
มีลูกค้าชายเดี่ยว อายุมากกว่า 60+ เป็นคนจีน พูดภาษาอังกิดไม่ค่อยเก่ง (ถ้ามี Vancouver จะเจอคนประเภทนี้เยอะมาก บางคนก็พูดไม่ได้เลย ไม่ใช่พูดไม่อย่างเดียวนะ ไม่ยอมพูดด้วย..)
นางมาแต่แรก นางก็แซงคิวแล้ว แต่เนื่องจากว่ามันเหมือนจะเพิ่งเริ่มคนเยอะเลยปล่อยไป
เพราะตามจริงเราต้องบอกให้เค้าไปเข้าคิว
นางก็สั่ง soup ที่จะกินที่นี่ เราก็ถามว่าเอาอะไรอีกมั๊ย ตาม step
นางก็บอกว่าเอา senior coffee
พอมาถึงจุดนี้ เจ๊ก็ไม่รุ ตั้งแต่ทำงานมา 7 เดือน ไม่เคยได้ยิน
เนื่องจากว่า ภาษาอังกิดของนาง รวมกับสินค้าที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทำให้เราเองต้องพูดขอโทด แล้วให้เค้า พูดให้ฟังใหม่
จขบ ก็ถามนางไปหลายรอบเหมือนกัน แต่ก็ไม่รุสักที
โชคดี supervisor ผ่านมาพอดี เลยถามว่ามันคืออะไร
ตอนแรก supervisor ยังไม่รุเรยนางสั่งอะไร เพราะอังกิดนางไม่ไหวจริงๆ
คือ ภาษาอังกิดก็ไม่ใช่ภาษาแม่ เจ๊ก้อไม่ได้ฟังมาแต่เกิด บวกกับนางพูดไม่รู้เรื่อง ไปกันใหญ่...
สรุปคือ ร้านเราไม่มี senior coffee นางเรยบอกว่า ถ้าไม่มีนางไม่เอา
เสร็จสับ นางรับแต่ soup ค่าเสียหาย $3.15 นางให้ มา $4 เพราะฉะนั้น ทอน $0.85
เราก็ทอนเงินเสร็จ นางก็เก็บเงินไรเรียบร้อย
เสร็จงานเราแล้ว เพราะต่อไปจะเป็นหน้าที่ของ soup and sandwich ที่จะตัก soup เสริฟนาง
เราเห็นนางเก็บเงินช้า เราเรยเปลี่ยน cashier ไปเป็นอีกเครื่อง จะได้เสริฟลูกค้าคนอื่น
เราก็เสริฟลูกค้าคนอื่นสักพัก เพราะตอนนั้นคนเยอะมาก จนเราไม่ได้สังเกตุด้วยซ้ำว่านางยืนอยู่
supervisor ก็เรียกเรา บอกว่าเรายังไม่ได้ทอนเงินนาง
เพราะว่า ระบบมันเป็นแบบนี้ ถ้าเราทำผิดเราเป็นคนไปขอโทษและแก้ไข case ใคร case มัน
เพราะว่าคนเสริฟ จะรู้ดีที่สุดว่าพูดอะไรไปบ้าง ลูกค้าสั่งอะไรไปบ้างทำนองนั้น
เราก็เดินกลับไปที่ cashier เดิม ก็จำได้นะว่าเราทอนเงินนางไปแล้ว
เราเรยบอกนางว่าทอนแล้ว
นางก็เริ่มตะคอก บอกว่าให้ไป $4 แล้วภาษาอังกิดนางเป็นคำๆมาก ทำให้ไม่รุว่านางต้องการอะไร
เราก็เรย ปริ้นท์ใบเสร็จแล้วโชว์ให้นางดูบอกว่าทอนแล้ว
แต่ก็เปิด cashier นะ เตรียมคืนนางอีกรอบ เพราะยังคงลังเลว่าอาจจะไม่ได้ทอนตังค์นาง
เราก็ยืนทอนไปอีกรอบ 0.85
นางก็ด่าเราเสียงดังเรยจ้าาาาาาาาา ฟัคยู !
เราเริ่มคิดในใจ เห้ อะไรว้ะเนี่ย
นางก็เริ่มโวยวาย เป็นภาษาอังกิดแย่ๆ ที่ฟังไม่รู้เรื่อง
เราก็เริ่มขึ้นเสียงว่า นี่ ตังค์ทอนนี้ถูกแล้ว
นางบอกว่านางให้ไป 4 เหรียญ ฟัคยู
แล้วนางก็เริ่มตะโกนดังขึ้นอีกว่า " call police "
แล้วนางก้อชี้หน้าด่าชั้นว่า " you cheating me " (ไม่ได้ผิด แกรมม่า อยากโชว์ให้ดูว่าอังกิดนางไม่ไหวจิงๆ)
เราเรยบอกว่าตกลงต้องการอะไร เงินทอนนี้ถูกแล้ว
ทีนี้ เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆก็มีช่วยประกบ
รวมถึง supervisor ด้วย มาช่วยฟัง
เราเริ่มโกรธตัวสั่น
สุดท้าย นางก็พูดขึ้นมาว่า
" you dong(don't) give my soup" " I pay for(4) dollar"
เพื่อนเรยบอกว่า ซุปแก อะ อยู่ตรงนี้ นี่ไงซุป วางไว้ให้
นางก็ยังไม่ฟัง ยังชี้หน้าด่าชั้นว่า ฟัคยู คอลโพลีส
เพื่อนเราเรยพูดเสียงดังบอกว่า ซุปอยู่ตรงนี้ นี่ไง นางเรยหันไปมอง
แล้วนางก็เงียบ เก็บเงินทอน (รอบสอง) ในกระเป๋า ไปหยิบซุป....
จขบ ยอมรับว่าโกรธมาก..
อายด้วย ...
ตรงนั้นคนเยอะมาก แล้วโดนชี้หน้าด่าหลายรอบมาก โดยที่ไม่ผิดอะไร
ตอนแรกคิดในใจอยากจะเอา F*ucking โฟนให้อี F*ucking ลุง โทรไปฟ้อง Police ด้วย F*ucking dam suck English จริงๆ
ชั้นไม่กลัว กล้องวงจรปิดก้อมี ลุงต่างหาก โกงเงินร้านชั้น 0.85 เซนต์ แมร่ง เก็บไปเฉย...
แล้วก็นั่งซดซุปเฉย... ไอ้ .......
จบบริบูรณ์...
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..
ดีใจนะ ที่ตอนนั้นควบคุมอารมณ์อยู่ บวกกับเป็นคนโกรธมากๆแล้วพูดไม่ออก ลุงแมร่งโชคดี
แต่ก็ดีแล้ว เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกคนก็จะไม่พูดถึงเราว่าเรากระทำอะไรนางบ้าง
มีแต่คนพูดถึงนาง ว่านาง .. ทำอะไรบ้าง ..
รู้สึกดีมาก ที่เวลามีปัญหา แล้วมีเพื่อนมาอยู่ข้างๆ ช่วยเหลือ ดีใจมากที่ได้มาทำกับ team นี้
มันทำให้เรารู้สึกดีมากจริงๆ หลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ถึงแม้ลูกค้าจะเยอะ
แต่ supervisor ก็ยังพูดว่า อยากไปพักสักแปปข้างหลังร้านมั๊ย แต่เราไม่หรอก spirit สูง
แต่ตามจิงแล้วคือ แกล้งทำเป็นโอเคไปงั้น เพราะไม่อยากให้ใครมาปลอบ เดี๋ยวร้องไห้
เรยทำตัวยุ่งๆเข้าไว้ จะได้ลืมๆ 5555
หลังจากนั้นทำงานไปก็คิดไปตลอด ว่าแก่ไปจะไม่ทำตัวงี่เง่าแบบนี้ ให้ลูกหลานมานั่งดูถูก แทนที่จะเป็นคนแก่ที่น่ารักให้คนเค้าชื่นชม..
หลังจากนั้นก็คิดได้ ก็รู้ว่า คนเราเวลาไม่มั่นใจมีหลายประเภท
สาขาที่ จขบ ทำอยู่ เป็นสาขาที่มีคนต่างชาติเยอะ เพราะฉะนั้นเจอบ่อย
บางคนก็อาย ตอบ yes ตลอด พูดอะไรก็เอาหมดซื้อหมด (ในขณะเดียวกัน ก็ตอบ no ตลอดก็มี)
บางคนพูดไม่ได้ ก็ยิ้ม หัวเราะ พยายามพูดให้เราเข้าใจ และพยายามทวนคำถามเรา
และ ประเภท นี้ก็เยอะ พวก พูดไม่ได้ แล้วหมดความมั่นใจ แล้วหาว่าเราฟังไม่รู้เรื่อง blame คนอื่น...
เราก็เรยคิดว่า,,
สาเหตุที่ทำให้ลุงคนนี้พูดจา กิริยามารยาทแย่แบบนี้น่าจะเป็น
1. แกคงเหงาอ่ะ มานี่พูดอังกิดก็ไม่เป็นไรงี้ ลูกหลานทิ้งป่าวไม่รุ
2. แกคงหมดความมั่นใจ ที่เราฟังแกไม่รุเรื่อง เรื่อง senior coffee... รวมถึงหงุดหงิดที่เราไม่รุจัก
3. แกยืนรอ soup นาน โดยที่ไม่รู้เรื่องเรยว่า soup อยู่อีกฝั่ง
4. แกคง พูดอะไรไม่เป็น นอกจาก ฟัคยู... แต่แมร่ง เรียน ฟัคยูได้ ทำไม่ไม่เรียนคำอื่นที่มันดีกว่านี้ว้ะ
5. ด้วยความเป็นคนจีน พื้นฐานคนจีน (ส่วนใหญ่) มีแต่เงิน แต่ไม่มีมารยาท ไม่มีวัฒนธรรม
ฯลฯ ที่ไม่รุว่าเหตุผลที่แกมีระเบิดลงที่ชั้นเนี่ยเพราะอะไร ... ว่างมั๊ง ห่าาาาาาาาาาาา... =*=
จบจ้า .. ประสบการณ์ "ครั้งแรก" ที่โดนด่าว่า ฟัคยูว์ ..
นี่ยังตื่นเต้นอยู่เรยนะ ตอนพิมพ์นี่ยังแบบ มือเย็นๆ 5555
ราตรีสวัสดิ์จาก Vancouver
25 September 2014
Thursday, 25 September 2014
Saturday, 13 September 2014
มาเรียน "ภาษา" ที่ต่างประเทศ,, 1
โพสนี้ เรามาพูดถึงการเรียนภาษาที่ต่างประเทศกันดีกว่า,,
ตอนที่เราได้ยินใครสักคนพูดว่า "ไปเรียนต่างประเทศ"
เราจะมีความรู้สึกว่า :
"โอ้โหหหหหหหห เก่งอ้ะ"
"หุยยยยยย กลับมาต้องพูดคล่องแน่ๆ"
"โหยดีจังเลยได้เที่ยวด้วย"
"อย่าลืม ภาษาไทยนะ"
และอีกนานับประการต่างๆนานา
เราเรยมีความรู้สึกว่า คนไทยส่วนใหญ่ ยังคงแอบมีความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการไปเรียน ต่างประเทศอยู่
จริงๆแล้วการมาเรียนภาษาที่ต่างประเทศในตอนนี้เราขอแบ่งออกเป็น 4 แบบใหญ่ๆนะ,,
1. ไปแบบ work and travel
2. ไปเรียนแบบ ESL หรือ English as a second language.
3. เรียนแบบ Academic
4. เรียนแบบระดับ High school grade 12, college, หรือ university
มาพูดถึงแบบแรกกันดีกว่าหรือว่าแบบ work and travel
แต่เราคงลงรายละเอียดไม่ได้เยอะ เพราะเราไม่เคยเข้าโปรแกรมนี้
แต่เท่าที่ฟังมาก็ออกแนวว่า ไปทำงานเลย แล้วก็ไปใช้ภาษาอังกฤษเลย เก็บเงินใช้ชีวิต และไปเที่ยว
เพราะฉะนั้น คนที่พอจะมีพื้นฐานทางภาษาบ้าง (หรือไม่มีแต่ใจกล้าก็ไปได้) ก็จะไปเที่ยวเล่น แล้วก็กลับบ้าน สนุกสนานกันไป
ผลลัพท์ของคนที่เลือกโปรแกรมนี้ คงจะเป็น ความคล่องในการใช้ภาษาพื้นฐานในการดำรงชีวิต และการติดต่อสื่อสารประจำวัน เพราะได้ใช้ภาษาอย่างจริงจัง ไม่จำเป็นต้องแคร์ว่าถูกหลักการหรือไม่ รวมถึงประสบการณ์ การทำงาน เอามาใส่ resume สวยๆ แล้วก็ประสบการณ์การใช้ชีวิต
ส่วนแบบที่ 2 แบบ ESL หรือ English as a second language
แบบนี้คนมาเรียนเยอะค่ะ
เริ่มจาก เลือกประเทศที่จะไป เลือกโรงเรียนที่น่าเรียน หลังจากนั้นก็
จ่ายเงินซื้อ course ตาม agency ทำเรื่องขอ visa แล้วก็บินไปเรียน ตามแต่ที่ใจต้องการกันไป
การเรียนคอส ESL เรียนไม่ยากค่ะ แต่พื้นฐานภาษาอังกฤษจะแน่นกว่า แบบแรก เพราะว่าได้เรียนไปใช้ไป ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาก่อนก็ได้
จากประสบการณ์คนเขียน เคยเจอคนที่พูดไม่ได้ฟังไม่ออกแม้แต่คำว่า "Where are you from ?"
ก็ยังมี
ส่วนใหญ่แล้ว โรงเรียน ESL จะขึ้นเทอมใหม่ ทุกๆ 1 เดือนค่ะ
ก่อนเข้าไปเรียน เค้าก็จะมีวัดระดับภาษาเราว่าเราได้อยู่ใน ระดับภาษาอะไร หลังจากนั้นก็จะจัดให้เราไปอยู่ตามห้องในระดับเดียวกัน
การเรียน ESL หลักๆเลยก็จะมี 4 skills ค่ะ
ฟัง, พูด, อ่าน, เขียน
เรียนไม่หนักค่ะ เริ่ม 9 โมงเช้า เลิกบ่าย 3
การเรียนก็สบายๆนะ เหมือนนั่งคุยกันมากกว่า
จริงๆแล้วการมาเรียน ESL ที่ต่างประเทศ ถ้าใครคาดหวังว่าจะกลับไปแล้วพูดคล่องปร่อหยั่งก้ะ native speaker เนี่ย .. เบรค ความคิดไว้เลยค่ะ
การมาเรียน ESL ที่ต่างประเทศเนี่ย มันก็พัฒนาอยู่นะคะด้านภาษา แต่ไม่ได้พัฒนาขนาดนั้น
ถึงแม้ว่าพัฒนาการของเราจะมากขึ้น(จ่ายเงินแล้วก็ต้องพัฒนาบ้าง) เราจะคล่องตัวมากขึ้น
เราจะฟังได้มากขึ้น เราจะโต้ตอบได้ดีขึ้น เราจะอ่านได้มากขึ้น เราจะเขียนได้มากขึ้น ก็ตามแต่
ทำไมหน่ะหรอ ?
เพราะว่าการเรียน ESL เหมือนเป็นการมา เรียนรู้ในการใช้ภาษา และ เรียนรู้ในการใช้ชีวิตต่างแดน
เพื่อนที่พูดด้วยก็จะอยู่ในระดับเดียวกัน ฉันก็พูดไม่ได้ แกก็พูดไม่ได้ เพราะฉะนั้น การพัฒนาไปด้วยกัน
ทำให้พัฒนาการมันค่อยๆเป็นค่อยๆไป
ESL เรียนสนุกค่ะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน แต่เราก็ งูๆปลาๆ ใส่กันให้หัวเราะได้
ESL ทำให้เรามีเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว เพื่อน party ถ้าอยากพูดมากขึ้น เราก็ต้องออกไป เที่ยวเล่นกับเพื่อนมากขึ้น ในที่นี้หมายถึงเพื่อนที่พูดต่างภาษากับเรานะ
ESL ทำให้เราได้เอาภาษาอังกฤษมาใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้เราคุ้นเคยกับการตอบคำถาม
และคล่องตัวกับภาษามากขึ้น ที่เห็นชัดเจนจะเป็น skill ฟังกับพูด ที่ยังไง๊ ยังไง ก็ต้องได้กลับไปหล่ะอ่ะ
ESL ทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น บราซิล เวียดนาม ฯลฯ มีอีกหลายอย่างบนโลกนี้จริงๆค่ะ ทีเราว่าเค้าแปลก และเค้าว่าเราแปลก บางทีเค้าก็เข้าใจวัฒนธรรมเราผิด บางทีเราก็เข้าใจวัฒนธรรมเค้าผิด ยิ่งคุยก็ยิ่งสนุก
ESL ทำให้เราได้เรียนรู้คำหยาบคายในภาษาอื่นๆอีกหลายภาษา 555
โดยสรุปแล้ว ,, เราจะได้ประสบการณ์และความคล่องตัวในการใช้ภาษาพื้นฐาน เพื่อติดต่อสื่อสารค่ะ
ยังคงไม่ถึงขั้นมืออาชีพอย่างที่เราคิดไว้
สำหรับใครที่คิดว่า โห,, เราไม่มีพื้นฐานอะไรเลย คงไปไม่รอด
อย่าไปคิดอย่างนั้นค่ะ ถ้าอยากเก่งก็ต้องขยัน ของแบบนี้ฝึกกันได้ ยังไงก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว
การมาเรียน ESL ที่ Vancouver ก็ดีเหมือนกันนะคะ
เพราะที่นี่คนเอเชียเยอะ เราจะเห็นคนหน้าเอเชียที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกเยอะแยะ
คนฝรั่งที่นี่เค้าก็เข้าใจเรา เพราะเค้าเห็นนักท่องเที่ยว และ Immigrant ที่เป็นเอเชีย
เค้าก็พยายามเข้าใจเราอยู่แล้ว
แต่ข้อเสียคือ พัฒนาการมันช้า เพราะพูดก็พูดกับคนในระดับเดียวกัน ค่อยๆเรียนรู้ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ที่พูดไปก็ไม่รู้ถูกมั๊ย ที่ฟังมาก็ไม่รู้เข้าใจป่าว ทำนองนั้น แล้วเราก็จะไมไ่ด้สำเนียงเท่าไหร่
ถ้าอยากได้สำเนียง ก็คงต้องฝึกเอง
และที่ยากที่สุดเราคิดว่า ฟังคนญี่ปุ่นพูด เพราะภาษาของคนญี่ปุ่นมันไม่ค่อยมีตัวสะกด ภาษาเค้ามีสระพื้นฐานแค่ 5 ตัว อะ อิ อุ เอะ โอ่ะ แล้วจับคน ญี่ปุ่นมาพูดอังกฤษเนี่ย ฟังยากโคดดดดดด ไม่ได้ฟังยากอย่างเดียวด้วยนะ พูดกับพวกนาง พวกนางก็ไม่ค่อยเข้าใจด้วย
เดี๋ยวเอาไว้โพสอื่นๆค่อยเล่าประสบการณ์สนุกๆที่เจอมาแล้วกันเนอะ แปะไว้ก่อนนะ อิอิ
_______
โดยสรุปแล้ว การเรียนภาษาอังกฤษในแบบ work and travel และ ESL จะเหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้จริงจังว่าอยากจะได้ภาษาอังกฤษอะไรมากมายค่ะ
คนที่มาลงแบบนี้ ส่วนใหญ่จะมากันเล่นๆ เรียนไปเที่ยวไป เรียนรู้ และใช้ชีวิตในต่างแดนไปเรื่อยๆซะมากกว่า
ภาษาก็จะได้คล่องตัวระดับหนึ่ง (แต่ใครได้เยอะก็ดีหน่อยนะ) ไม่ได้กลับไปแบบโห พูดน้ำไหลไฟดับ
อ่าว ,, แล้วถ้าอยากจริงจังกับภาษาหล่ะ ?
เดี๋ยวค่อยมาเขียนต่อโพสหน้าแล้วกันเนอะ ,,
กับอีก 2 แบบที่เหลือค่ะ
ราตรีสวัสดิ์ จาก Vancouver คร๊าาาาาา =3
12 September 2014
ตอนที่เราได้ยินใครสักคนพูดว่า "ไปเรียนต่างประเทศ"
เราจะมีความรู้สึกว่า :
"โอ้โหหหหหหหห เก่งอ้ะ"
"หุยยยยยย กลับมาต้องพูดคล่องแน่ๆ"
"โหยดีจังเลยได้เที่ยวด้วย"
"อย่าลืม ภาษาไทยนะ"
และอีกนานับประการต่างๆนานา
เราเรยมีความรู้สึกว่า คนไทยส่วนใหญ่ ยังคงแอบมีความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการไปเรียน ต่างประเทศอยู่
จริงๆแล้วการมาเรียนภาษาที่ต่างประเทศในตอนนี้เราขอแบ่งออกเป็น 4 แบบใหญ่ๆนะ,,
1. ไปแบบ work and travel
2. ไปเรียนแบบ ESL หรือ English as a second language.
3. เรียนแบบ Academic
4. เรียนแบบระดับ High school grade 12, college, หรือ university
มาพูดถึงแบบแรกกันดีกว่าหรือว่าแบบ work and travel
แต่เราคงลงรายละเอียดไม่ได้เยอะ เพราะเราไม่เคยเข้าโปรแกรมนี้
แต่เท่าที่ฟังมาก็ออกแนวว่า ไปทำงานเลย แล้วก็ไปใช้ภาษาอังกฤษเลย เก็บเงินใช้ชีวิต และไปเที่ยว
เพราะฉะนั้น คนที่พอจะมีพื้นฐานทางภาษาบ้าง (หรือไม่มีแต่ใจกล้าก็ไปได้) ก็จะไปเที่ยวเล่น แล้วก็กลับบ้าน สนุกสนานกันไป
ผลลัพท์ของคนที่เลือกโปรแกรมนี้ คงจะเป็น ความคล่องในการใช้ภาษาพื้นฐานในการดำรงชีวิต และการติดต่อสื่อสารประจำวัน เพราะได้ใช้ภาษาอย่างจริงจัง ไม่จำเป็นต้องแคร์ว่าถูกหลักการหรือไม่ รวมถึงประสบการณ์ การทำงาน เอามาใส่ resume สวยๆ แล้วก็ประสบการณ์การใช้ชีวิต
ส่วนแบบที่ 2 แบบ ESL หรือ English as a second language
แบบนี้คนมาเรียนเยอะค่ะ
เริ่มจาก เลือกประเทศที่จะไป เลือกโรงเรียนที่น่าเรียน หลังจากนั้นก็
จ่ายเงินซื้อ course ตาม agency ทำเรื่องขอ visa แล้วก็บินไปเรียน ตามแต่ที่ใจต้องการกันไป
การเรียนคอส ESL เรียนไม่ยากค่ะ แต่พื้นฐานภาษาอังกฤษจะแน่นกว่า แบบแรก เพราะว่าได้เรียนไปใช้ไป ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาก่อนก็ได้
จากประสบการณ์คนเขียน เคยเจอคนที่พูดไม่ได้ฟังไม่ออกแม้แต่คำว่า "Where are you from ?"
ก็ยังมี
ส่วนใหญ่แล้ว โรงเรียน ESL จะขึ้นเทอมใหม่ ทุกๆ 1 เดือนค่ะ
ก่อนเข้าไปเรียน เค้าก็จะมีวัดระดับภาษาเราว่าเราได้อยู่ใน ระดับภาษาอะไร หลังจากนั้นก็จะจัดให้เราไปอยู่ตามห้องในระดับเดียวกัน
การเรียน ESL หลักๆเลยก็จะมี 4 skills ค่ะ
ฟัง, พูด, อ่าน, เขียน
เรียนไม่หนักค่ะ เริ่ม 9 โมงเช้า เลิกบ่าย 3
การเรียนก็สบายๆนะ เหมือนนั่งคุยกันมากกว่า
จริงๆแล้วการมาเรียน ESL ที่ต่างประเทศ ถ้าใครคาดหวังว่าจะกลับไปแล้วพูดคล่องปร่อหยั่งก้ะ native speaker เนี่ย .. เบรค ความคิดไว้เลยค่ะ
การมาเรียน ESL ที่ต่างประเทศเนี่ย มันก็พัฒนาอยู่นะคะด้านภาษา แต่ไม่ได้พัฒนาขนาดนั้น
ถึงแม้ว่าพัฒนาการของเราจะมากขึ้น(จ่ายเงินแล้วก็ต้องพัฒนาบ้าง) เราจะคล่องตัวมากขึ้น
เราจะฟังได้มากขึ้น เราจะโต้ตอบได้ดีขึ้น เราจะอ่านได้มากขึ้น เราจะเขียนได้มากขึ้น ก็ตามแต่
ทำไมหน่ะหรอ ?
เพราะว่าการเรียน ESL เหมือนเป็นการมา เรียนรู้ในการใช้ภาษา และ เรียนรู้ในการใช้ชีวิตต่างแดน
เพื่อนที่พูดด้วยก็จะอยู่ในระดับเดียวกัน ฉันก็พูดไม่ได้ แกก็พูดไม่ได้ เพราะฉะนั้น การพัฒนาไปด้วยกัน
ทำให้พัฒนาการมันค่อยๆเป็นค่อยๆไป
ESL เรียนสนุกค่ะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน แต่เราก็ งูๆปลาๆ ใส่กันให้หัวเราะได้
ESL ทำให้เรามีเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว เพื่อน party ถ้าอยากพูดมากขึ้น เราก็ต้องออกไป เที่ยวเล่นกับเพื่อนมากขึ้น ในที่นี้หมายถึงเพื่อนที่พูดต่างภาษากับเรานะ
ESL ทำให้เราได้เอาภาษาอังกฤษมาใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้เราคุ้นเคยกับการตอบคำถาม
และคล่องตัวกับภาษามากขึ้น ที่เห็นชัดเจนจะเป็น skill ฟังกับพูด ที่ยังไง๊ ยังไง ก็ต้องได้กลับไปหล่ะอ่ะ
ESL ทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น บราซิล เวียดนาม ฯลฯ มีอีกหลายอย่างบนโลกนี้จริงๆค่ะ ทีเราว่าเค้าแปลก และเค้าว่าเราแปลก บางทีเค้าก็เข้าใจวัฒนธรรมเราผิด บางทีเราก็เข้าใจวัฒนธรรมเค้าผิด ยิ่งคุยก็ยิ่งสนุก
ESL ทำให้เราได้เรียนรู้คำหยาบคายในภาษาอื่นๆอีกหลายภาษา 555
โดยสรุปแล้ว ,, เราจะได้ประสบการณ์และความคล่องตัวในการใช้ภาษาพื้นฐาน เพื่อติดต่อสื่อสารค่ะ
ยังคงไม่ถึงขั้นมืออาชีพอย่างที่เราคิดไว้
สำหรับใครที่คิดว่า โห,, เราไม่มีพื้นฐานอะไรเลย คงไปไม่รอด
อย่าไปคิดอย่างนั้นค่ะ ถ้าอยากเก่งก็ต้องขยัน ของแบบนี้ฝึกกันได้ ยังไงก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว
การมาเรียน ESL ที่ Vancouver ก็ดีเหมือนกันนะคะ
เพราะที่นี่คนเอเชียเยอะ เราจะเห็นคนหน้าเอเชียที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกเยอะแยะ
คนฝรั่งที่นี่เค้าก็เข้าใจเรา เพราะเค้าเห็นนักท่องเที่ยว และ Immigrant ที่เป็นเอเชีย
เค้าก็พยายามเข้าใจเราอยู่แล้ว
แต่ข้อเสียคือ พัฒนาการมันช้า เพราะพูดก็พูดกับคนในระดับเดียวกัน ค่อยๆเรียนรู้ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ที่พูดไปก็ไม่รู้ถูกมั๊ย ที่ฟังมาก็ไม่รู้เข้าใจป่าว ทำนองนั้น แล้วเราก็จะไมไ่ด้สำเนียงเท่าไหร่
ถ้าอยากได้สำเนียง ก็คงต้องฝึกเอง
และที่ยากที่สุดเราคิดว่า ฟังคนญี่ปุ่นพูด เพราะภาษาของคนญี่ปุ่นมันไม่ค่อยมีตัวสะกด ภาษาเค้ามีสระพื้นฐานแค่ 5 ตัว อะ อิ อุ เอะ โอ่ะ แล้วจับคน ญี่ปุ่นมาพูดอังกฤษเนี่ย ฟังยากโคดดดดดด ไม่ได้ฟังยากอย่างเดียวด้วยนะ พูดกับพวกนาง พวกนางก็ไม่ค่อยเข้าใจด้วย
เดี๋ยวเอาไว้โพสอื่นๆค่อยเล่าประสบการณ์สนุกๆที่เจอมาแล้วกันเนอะ แปะไว้ก่อนนะ อิอิ
_______
โดยสรุปแล้ว การเรียนภาษาอังกฤษในแบบ work and travel และ ESL จะเหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้จริงจังว่าอยากจะได้ภาษาอังกฤษอะไรมากมายค่ะ
คนที่มาลงแบบนี้ ส่วนใหญ่จะมากันเล่นๆ เรียนไปเที่ยวไป เรียนรู้ และใช้ชีวิตในต่างแดนไปเรื่อยๆซะมากกว่า
ภาษาก็จะได้คล่องตัวระดับหนึ่ง (แต่ใครได้เยอะก็ดีหน่อยนะ) ไม่ได้กลับไปแบบโห พูดน้ำไหลไฟดับ
อ่าว ,, แล้วถ้าอยากจริงจังกับภาษาหล่ะ ?
เดี๋ยวค่อยมาเขียนต่อโพสหน้าแล้วกันเนอะ ,,
กับอีก 2 แบบที่เหลือค่ะ
ราตรีสวัสดิ์ จาก Vancouver คร๊าาาาาา =3
12 September 2014
Sunday, 31 August 2014
Vancouver ที่นี่ที่ไหน !
โดยส่วนตัวแล้ว เราได้ยินคำนี้มาตั้งแต่เด็กๆ
เพราะอี้ (หรือภาษาไทยเรียกว่าป้า) ได้กลายเป็นคน Canadian และตั้งรกรากอยู่ที่
Vancouver
เราไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนเรามั๊ย
แต่เราเองถ้าพูดถึงคำว่าเรียน ต่างประเทศ มักจะนึกถึงแต่ “America” “England” เพราะเวลาเราดูหนังฝรั่ง
ส่วนใหญ่ก็มาจากอเมริกา หรืออังกฤษ หรือ “Australia”
เพราะมันอยู่ใกล้โซนเอเชีย และเป็นถิ่นของพวกจิงโจ้ กับ หมีโคอะล่า
ไม่เคยสนใจประเทศ Canada มาก่อน
ในที่สุด ความใฝ่ฝันก็มาถึง อยากไปต่างประเทศ
อยากไปเรียนภาษา ด้วยความโชคดี สอบใบประกอบฯ ผ่าน ก็ได้รับทุน พก.มก. (พ่อกูแม่กู)
และประกอบกับอี้อยู่ที่ Vancouver อยู่แล้วเชียร์ให้มาเมืองนี้
ไอเราก็จะเรื่องมากเลือกนั่นโน่นนี่ไม่ได้ กลัวทุนหาย อ๊าว ! Vancouver
ก้อ
Vancouver !
ตอนนี้อยู่ที่นี่ ทำความรู้จักที่นี่มาก็ 1 ปีได้แล้ว
เลยอยากมาเล่าให้ฟัง ว่า Vancouver เนี่ย มันคือที่ไหน อะไร ยังไง,, แต่ก็คงไม่ได้เล่าประวัติความเป็นมา หรืออะไรทำนองที่ว่าวิชาการนะ
แต่จะเล่าตามประสบการณ์เนี่ยแหล่ะ
Vancouver เป็น city
หนึ่งในจังหวัด
British Columbia ในประเทศ Canada ติดกับรัฐ Seattle, America
ห่างกันนิดเดียว ซึ่งสามารถขับรถข้ามไปมาได้จะใช้เวลาประมาน 3 ชม.
British Columbia(B.C.) มีทั้งหมด 7 เมืองด้วยกัน
1 ใน 7 เมืองนั้นก็คือ Vancouver เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด ใน B.C. ตามจริงแล้ว
ใน Vancouver ก็จะแบ่งออกไปอีกทั้งหมด 5 โซนหลักคือ Vancouver, North Vancouver, Burnaby, Surrey, และ Richmond
มันก็มีหลายโซนอะนะ แต่หลักๆที่ได้ยินและได้เยือนบ่อยๆ มีแค่ 5 โซน |
Vancouver ห่างจากไทย
ราวๆ 14 ชั่วโมงในหน้า ร้อน, ใบไม้ร่วง, ใบไม้ผลิ แต่จะห่างจากไทยประมาน 15
ชม.
ในหน้าหนาวค่ะ เพราะว่าพอเริ่มเข้าหน้าหนาว เราจะปรับเวลาให้นานขึ้นอีก 1 ชม.
ที่นี่หน้าร้อนพระอาทิตย์ไม่ยอมตกดิน กว่าจะมืดโน่น ประมาน 4 ทุ่มได้ ตอนเช้าก็ไวเหลื๊อเกิน
ตี 5 ก็สว่างล้ะ แต่ถ้าหน้าหนาวนะ 4 โมงกว่าก็จะมืดล้ะ
ตอน 7 โมงเช้า ยังโพล้เพล้ๆ อยู่เลย
การมาเรียน ต่างประเทศ คิดว่าจะเจอฝรั่งใช่ป้ะ
แต่จริงๆแล้ว มีคนเอเชียถึง 30% กันเลยทีเดียว ตอนที่อยู่ในสนามบินของ Vancouver
ครั้งแรก
คิดว่าขึ้นเครื่องผิด flight เจอแต่คนจีนจ้า 55555
แล้วก็คนเอเชียเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกก ชาติหลักๆเลยก็จะเป็นชาติจีน รองมาน่าจะเป็น เกาหลี, แขก, ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น และ โซน south
Asia เช่น ไทย, เวียดนาม
Vancouver เป็นเมืองที่มีระเบียบค่ะ
คนจะสุภาพและใจดีมาก และเนื่องจากมีคนเอเชียอยู่เยอะ ฝรั่งที่นี่จะเหยียดคนเอเชียน้อยค่ะ
ไม่เหมือนที่ America ที่คนเหยียดเอเชียจะเยอะ ทำให้การมาเรียนภาษาและการติดต่อสื่อสารง่ายขึ้นมาก
ประกอบกับ Vancouver เป็นเมืองท่องเที่ยว ตามสถานที่สำคัญต่างๆ ก็จะมีหลายภาษากำกับไว้
อ้าวดูกัน อันนี้ในบริษัทนึง มีจะครบมันทุกเชื้อชาติ อิอิ |
จริงๆแล้ว Canada เป็นประเทศ 2 ภาษา คือ
อังกฤษ กับ ฝรั่งเศส ภาษาหลักๆของเมือง Vancouver จะใช้ภาษาอังกฤษค่ะ
คิดจะมา Canada ดูเมืองดีๆ นะคะ
ถ้าอยากได้ภาษาอังกฤษก็เลือกเมืองที่พูดอังกฤษเป็นหลักนะ
ตอนเราไปเรียน
เราเลือกเป็นช่วง Summer คนเยอะเชียวเพราะเป็นช่วง high season ของที่นี่
คนในกำลังออก คนนอกกำลังเข้า
การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเลยรอนานมาก
ถ้าเป็นนักเรียน แล้วเพิ่ง เข้าประเทศนี้ครั้งแรก เค้าจะแยกให้เราเดินไปอีกห้องนึง
เป็นห้องเขียวๆ ใกล้ๆ ด่านตรวจคนเข้าเมือง เพื่อที่เค้าจะได้ตรวจเอกสารเรา
การผ่านด่านก็ไม่ยากค่ะ พูดไม่เป็นก็ผ่านได้ เพราะเค้าเข้าใจว่าเรามาเรียนภาษา
ไม่ต้องกลัวว่าเค้าจะส่งกลับ ตราบใดที่เราไมได้ทำอะไรผิด
เอาจริงๆแล้ว
ถ้าเรายิ่งตอบเยอะเค้าก็ยิ่งถามเยอะ ตอบสั้นๆ รีบคุยรีบจบ รีบออกจากสนามบินดีกว่า
อยากจะเห็นเมืองจะแย่แล้ว
จำได้ว่า วันแรกที่ก้าวออกจาก สนามบิน อากาศ
หนาวเย็นเลยแหล่ะ ประมาน 23 องศา ต้องใส่เสื้อกันหนาว แต่มีแต่คนมองอะนะ
เพราะเค้าไม่หนาวกันไง มองเหมือนเราเป็นตัวประหลาด แบบ อีนี่หนาวมากใช่ม๊ะ !? 5555 เอออ
ตอนนั้นหนาวจริง แต่คนที่นี่ กำลังจะ แก้ผ้า ..
สำหรับอากาศที่เมืองนี้นั้น เค้าว่ากันว่า จะเย็นกำลังดีในหน้าร้อนไม่ร้อนมาก
และ จะอุ่นที่สุดในหน้าหนาว อันนี้ก็ไม่รู้นะว่าจริงหรือเปล่า
เพราะยังไม่เคยไปเมืองอื่นด้วยสิ แต่ที่นี่หิมะตกไม่บ่อยนะ คือ ถ้าจะเอาแบบพายุหิมะหนาวสั่นในเสื้อกันหนาวหนาๆอย่าในหนังฝรั่งหน่ะ
ไม่มีหรอกค่ะ แต่ก็พอมีบ้าง 3 วันบ้าง 7 วันบ้าง
แต่ที่เยอะที่สุดเลยเนี่ยน่าจะเป็น หน้าฝน ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิดอีกเช่นเคย หน้าฝน!
ถึงกับมีคนตั้งชื่อเมืองให้ใหม่เลยค่ะว่า Raincouver 555
เพราะว่าที่นี่ฝนจะตกบ่อยมากค่ะ โดยเฉพาะช่วงหน้าฤดูใบไม้ร่วง ฝนจะตกแถบทุกวัน
แล้ว อีฤดูใบไม้ร่วงเนี่ยมันจะเข้าฤดูหนาวช่ายม๊ะ ... แหมะ ... ก็น่านแหล่ะค่ะ
สะท้านกันไป..
แต่ฝนที่นี่ไม่เหมือนฝนที่ไทยนะ ที่แบบ ซู่ววววววววววววววว์
ลงมาเยอะๆ แต่เป็นฝนที่ตกปรอยๆ เบาๆ ส่วนใหญ่แล้ว มันก็จะตกประมานนี้ไปนานๆ
ตกแบบนี้เราก็ไม่ต้องใช้ร่มก็ได้ ใส่ jacket เอา
น้อยครั้งมากที่จะตกหนักจนต้องใช้ร่ม
สีสัน หน้าร้อน เนื้อ นม 6 packs ฮื่มมมม ,, |
อันนี้หิมะตก เบาๆ,, ช่วงนี้กับช่วงตกใหม่ๆอ่ะสวย ตกนานหิมะสกปรกแล้วไม่ค่อยสวยเลย |
อันนี้ Stanley Park อีกสถานที่ที่ต้องมาเมื่อมาเยือน Vancouver |
การไปไหนมาไหนของคนที่นี่เน้น “เดิน” ค่ะ
ฝรั่งที่นี่ไม่ค่อยมีรถส่วนตัวนะ ส่วนใหญ่ที่เห็นมีรถส่วนตัวก็เห็นจะเป็นคนเอเชีย
โดยเฉพาะคนจีน (พวกนี้รวยมากกกกกกก)
ฝรั่งเค้าเน้นเดิน ไม่ก็ขึ้นรถบัส
บางคนแต่งตัวสวยไปผับเกาะราวรถไฟฟ้าก็เยอะแยะไป อาจจะเป็นเพราะที่นี่ รถแท็กซี่ไม่ได้แพงอย่างเดียวนะ
ไม่ค่อยมีด้วย ต้องโทรตามเอา สำหรับวินมอไซค์ ไม่มีแน่นอน
หนาวขนาดใครจะขับมอไซค์ฟร่ะ..
ถ้าเป็นหน้าร้อน
บางคนก็อาจจะใช้เป็นจักรยานแทนการเดิน เราก็ชอบเดินนะ
การเดินในอากาศที่เย็นๆสบายๆของที่นี่เดินไกลแค่ไหนก็ถือว่ายังโอเค แล้วที่นี่ถนนก็ค่อนข้างสะอาดและปลอดภัย
รถทุกคันกลัวคนหมด มีสัญญาณให้คนข้าม รถก็หยุดให้คนข้ามก่อนทุกครั้ง เพราะฉะนั้นขา
คือยานพาหะนะ หลักของคนที่นี่เลย
มีทางจักรยานโดยเฉพาะเลย ที่นี่จะขับต้องใส่หมวกนะ ไม่ใส่โดนจับจ้า |
อันนี้ของคนเดินข้ามก็มี จะข้ามก็กดปุ่ม รอสัญญาณ แล้วก็ข้าม เป็นระเบียบ ห้ามระหว่างถนน หรือไม่รอไฟ โดนปรับจ้า |
มื้อแรกที่ตกถึงท้องค่ะ คืออาหาร ญี่ปุ่น .. ค่ะ ! อ่านไม่ผิด
อาหารญี่ปุ่น ทำไมมาเมืองนอกเมืองนา นั่งกินอาหารญี่ปุ่น
บอกเลยว่า Vancouver
วัฒนธรรมหลากหลายมากค่ะ
และร้านอาหารส่วนใหญ่ เป็นร้านต่างชาติทั้งนั้น
เอาจริงๆถ้าตอนนี้ให้แนะนำร้านอาหารใน Vancouver ก็แนะนำไม่ถูกค่ะ!
มันขึ้นอยู่กับอารมณ์
ผู้อยากกินจริงๆว่าอยากได้อาหารชนชาติไหน
ขั้นแรกของการเลือกอาหาร
พวกเราต้องนึกก่อนว่า อยากได้อาหารชาติอะไร ไทย, จีน, ญี่ปุ่น, เวียดนาม, แมกซิกัน,
แคนเนเดี่ยน ฯลฯ หลังจากนั้นถึงเลือกร้านอาหารได้ค่ะ
แต่ถ้าให้เอาของแคเนเดี่ยนจริงๆเลย ที่ต้องรู้จักคือ "Poutine" มันเป็นมันฝรั่งทอดราดด้วยน้ำ เกรวี่ และโรยด้วยชีสสสสสสสสสสสสสสสส อ่าาาาาาาาาาาาาาาาห์ ,, น่ากินหล่ะสิ ตัว Poutine หน่ะ เราคิดว่าน่าจะเป็นสำหรับนักท่องเที่ยวนะที่เวลามาถึง Vancouver แล้วต้องไปหากิน
แต่ถ้าจะเอาคนที่นี่ชอบกินเป็นประจำเห็นจะเป็น "Chicken wings" ค่ะ เป็นปีกไก่ทอด หรือไม่ก็อบซอส มีสาระพัดซอส สาระพัดรสชาติให้เลือก มี ไทยซอสด้วยนะจ้ะบอก แต่รสชาติไม่ไทยเอาซะเล้ย !
แล้วอีกอย่างนึงที่คิดว่าน่าจะเป็นประจำชาติคือ "maple syrup" เพราะที่นี่มีต้น Maple เยอะ สัญลักษณ์ ยังเป็น ใบ Maple เลย ก็น่าจะเป็นหลักๆ 3 อย่างนี้นะ ที่ทำให้รู้สึกว่า ชั้นถึง Vancouver แล้วน้ะฮ๊าาาาาาา
นี่จ้าหน้าตา Poutine อ่านว่า พูทีน บางร้านก็จะมีลูกเล่นแบบ ใส่ท๊อปปิ้งหลากหลายกันไป |
อันนี้ Chicken wings จ้า เค้าก็จะมี dipping sauce มาให้ด้วย ส่วนใหญ่ เสริฟคู่ Ranch |
คนที่นี่บ้าเรื่องสุขภาพมาก
หมายถึงถ้าคนมีเงินหน่อยนะก็จะเน้น Organic บางคนก็เป็น vegetarian
ไม่กินเนื้อสัตว์
เพราะว่าเนื้อสัตว์ผ่าน กรรมวิธีเยอะ
และคนที่นี่ชอบแพ้ในสิ่งที่ตัวเองกิน ที่แพ้หลักๆเลยเห็นจะเป็น
peanut ทั้งที่คนที่นี่ชอบกินถั่ว บางคนก็แพ้ gluten หรือสารในแป้งซึ่งตามจริงแล้วคนที่นี่กินขนมปังเป็นหลัก...
เพราะฉะนั้นเค้าจะพิถีพิถันในเรื่องของอาหารมากเป็นพิเศษ
รวมไปถึงการออกำลังกาย
คนที่นี่บ้า Yoga มาก แต่เราว่าดีนะ เป็นกีฬาที่ใช้สมาธิและได้สุขภาพไปพร้อมๆกัน เวลาจะกินอะไรจะสั่งอะไรบางคนก็เลือกมากเหลือเกิน
คำพูดติดปากของคนที่นี่คือ “healthy” กับ “It’s good for you”
แต่ก็แล้วแต่คนนะ
บางคนก็ไม่ดูแลสุขภาพเลยก็มี อ้วนจนเดินไม่ได้ต้องนั่งรถเข็น ก็มีเยอะแยะไป
สีสันหน้าร้อนเค้าหล่ะ เล่นโยคะกลางสวนคนเยอะๆ |
คนเยอะเกิ๊น 5555 |
Starbuck everywhere หยั่งก้ะ 7/11 บ้านเราเลย
มีทุก block ทุกหัวมุมเมือง เพราะฉะนั้นจะนัดใคร ที่ Starbuck นัดสถานที่บอกถนนให้ชัดเจน
ทางที่ดีนัดที่อื่นเหอะ 5555 แต่ที่เค้าก็มีร้านกาแฟชื่อดังที่เอามาแข่งกับ Starbuck อย่างสูสีนะ ชื่อ Timhortons มีทุกหัวมุมเมืองเหมือนกัน เป็นกาแฟของเฉพาะ Canada เลย เป็นหนึ่งในร้านกาแฟที่ ถ้ามา Vancouver แล้วต้องรู้จัก ส่วน เมนูยอดฮิตคือ Ice Cappuccino เป็นกาแฟปั่นธรรมดาอ่ะแหล่ะ ตามจริงแล้วบ้านเราก็มีนะของ บริษัทนี้ แต่ไม่ใช่กาแฟ ที่ไทยนำเข้าเป็นไอติม ชื่อร้านว่า Cold stone
หน้าตา Ice Cappuccino เรียกสั้นๆว่า Ice Cap |
อันนี้ TimHortons และ Coldstone แต่ไม่ค่อยเห็นหรอกนะ แหม อากาศเน้นหนาว ใครมีกะจิตกะใจมากินติม |
อะ แถมอีกรูป มาที่นี่ต้องเจอแน่รับรอง |
เนี่ยแหล่ะ Vancouver ฉบับคร่าว
ให้เห็นภาพรวมเล่นๆ แล้ววันหลังจะมาเขียนเจาะลึกไปถึงรายละเอียดอื่นๆ เช่น การเตรียมตัว, สถานที่ที่น่าสนใจ,
การเช่าบ้าน, การเดินทาง, มุมที่ไม่ดีของ Vancouver ฯลฯ ให้อ่านกันนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันค๊า ^0^
ปิดท้ายด้วยรูป Vancouver สวยๆอีก สักรูปนะ =) |
Friday, 22 August 2014
ลุยเดี่ยว Suspension bridge,,
Suspension bridge เป็น 1 ในสถานที่ ที่คนมา Vancouver ต้องไป
อิฉันก็อยากไปค่ะ มาอยู่ที่นี่ได้ปีแล้ว ยังไม่มีโอกาศได้ไปเยือน
ช่วงนี้ว่าง ไม่มีเรียน แต่ชวนใครไปก็ไม่มีใครไปด้วย
มีแต่คนไปมาแล้ว และไม่อยากไปอีก
โอเค๊ ,, ไปคนเดียวก็ได้ ไม่เป็นไรเนอะ =)
เริ่มจากหาข้อมูลก่อนว่าต้องไปยังไง
http://www.capbridge.com/
สรุปว่ามีรถ shuttle bus ไปฟรี ค๊าาาาาา ของฟรีเจ๊ชอบ
รถออกทุก 15 นาที ที่ Canada place ซึ่งไปง่ายมากค่ะ
นั่งรถไฟฟ้าไปที่ water front แล้วเดินต่ออีก 2 blocks
พอไปถึงประมาน 12.02 รถก้ออกแล้ว เลยต้องรออีกประมาน 15 นาที
รถมาแล้ววววว ได้ขึ้นล้ะ =)
ขึ้นรถไปถึงก็สังเกตุเห็น ผู้หญิงคนนึง มาคนเดียวเหมือนกัน
ไอเราก็คิดในใจว่า เออ ชวนเค้าไปเที่ยวด้วยกันดีกว่า มาคนเดียวเหมือนกัน
พอลงจากรถ ก็หานางไม่เจอ ก็เลยจะเดินไปซื้อตั๋ว ปรากฏว่า นางขอให้ถ่ายรูปให้
เย้เย้ งานนี้ได้เพื่อนล้ะ =)
เลยชวนนาง ไปเที่ยวด้วยกัน ,,
ตั๋วนี่มีหลายราคา ตามนี้
ผู้ใหญ่ ---------------------------------- $35.95
ผู้สูงอายุ 60+ -------------------------- $33.95
เด็กนักเรียน (มีบัตรนักเรียน) ----------- $29.95
วัยรุ่น (13-16) ------------------------- $22.95
เด็กน้อย (6-12) ----------------------- $12.00
ต่ำกว่า 6 ขวบ -------------------------- ฟรี
โชคดีที่เอาบัตรนักเรียนมา เรยลดราคาเหลือ $29.95 แต่ ! อยู่นี่จัดว่าเป็น ชีวิตติด tax ค่ะ
เพราะฉะนั้นรวมๆค่าเสียหายประมาน 32 เหรียญ
พอจ่ายเงินเสร็จสับ ก็เข้าไปกันเล้ย !
ก่อนเข้าไป เราก็หยิบ Passport ก่อนเรย
อันนี้ออกแนวเป็น แผนที่ด้วย แล้วก็มีช่องให้เรา stamp ตามจุดต่างๆ
สะสม stamp ให้ครบ แล้วเอาไปแลกใบ Certificate (ดูจริงจัง) เป็นใบแบบว่า เย้ ! ฉันทำสำเร็จล้ะ !
หลังจากพ้นประตูมา ก็จะมีรูปปั้น หน้าตาแบบนี้อยู่เกลื่อนกลาดไปหมด
(หมายถึงรูปปั้นนะ ไม่ใช่คนเสื้อชมพูเคป่ะ)
รูปปั้นพวกนี้ เป็น 1 ในสัญลักษณ์ของคนที่นี่เค้าหล่ะ
เพราะว่าจริงๆแล้ว คน native หรือ คนพื้นเมืองที่นี่ คือ " ชนเผ่าอินเดียนแดง "
เค้าก็จะมีรูปปั้นที่ชนเผ่านับถือ หน้ามันปะหลาดๆ แปลกๆ ไปซะหมดอ่ะนะ
แล้วก็มีพวก ของเก่าๆ ตั้งโชว์ พร้อมกับคำบรรยายประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เดินเข้าไปก็เป็นจุดสำหรับเด็ก
เค้าก็จะมีเกมส์ให้เล่น มีชุดให้แต่งตัวเล่น แล้วก็มีให้ระบายสี อะไรทำนองนั้น
แล้วเราก็เห็นว่าเค้าทำเป็นกรอบรูป ฮืมม ,, เลยถ่ายเล่นซะเรย =)
เดินไปเรื่อยๆ (พูดเหมือนไกล) ตามจิงใช้เวลาเดินแบบไม่ถ่ายรูปประมาน 3 นาที
แต่อันนี้ เพื่อนร่วมทางและอิชั้น ปาเข้าไปเกือบ 15 นาที
เหมือนจะไม่มีอะไร แต่เราสองคนก้อทำให้มันมีอะไร (โชคดีอ่ะเจอคนแนวเดียวกัน)
เย้เย้เย้ เราถึงที่หมายถึงเราแล้ว Suspension bridge ! สะพานข้ามเขา ,,
การเดินข้ามสะพาน คือมันก็ไม่ได้ยากหรือหวาดเสียวอะไรนะ
เพราะว่าจริงๆแล้วที่ไทยก็มี เพียงแต่ว่า มันเป็นการเดินๆหยุดๆ เพราะว่าคนหยุดถ่ายรูป
แล้วสะพานเหวี่ยงมากค่ะ เพราะว่า บางคนตั้งใจทำให้สะพานมันเหวี่ยงไรงี้
เค้าก็จะมีการประกาศว่า กรุณาอย่าตั้งใจเหวี่ยงสะพาน,,
ธรรมชาติสองข้างทางสวยกว่าในรูป (แน่นอน)
ถ้าเห็นแล้วอยากจะหลับตาเดิน (ทำได้ที่ไหนหล่ะ)
สูดอากาศบริสุทธิ์ ,, ฝืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ,, =)
ในความรู้สึกส่วนตัว ธรรมชาติที่ไหนก็มีพื้นฐานที่คล้ายๆกัน
สีเขียวของใบไม้ สีน้ำตาลของต้นไม้ กับสีฟ้าของท้องฟ้า และ สีขาวของเมฆ
ได้ยินเสียงน้ำไหลของน้ำตก เสียงนกร้อง และก็เสียงต้นไม้ไหว
สิ่งที่ต่างกันน่าจะเป็น ลักษณะต้นไม้ ต้นไม้ที่นี่เหมือนในหนังอ่ะ ทื่อๆ เหมือนต้นคริสมาสฯ
และก็น่าจะเป็น อากาศที่เย็นๆสบายๆ ลมพัดเบาๆ แดดจ้าทำให้ร่างเราอุ่นสู้กับอากาศเย็น
ไม่ร้อนอบอ้าว เหมือนตอนเราไปเที่ยวน้ำตกที่ไทย แล้วแบบ ร้อนจนอยากจะแช่น้ำตกข้างบนไวไว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ,, เราไม่ขอเปรียบเทียบว่าที่นี่ดีกว่า หรือที่ไทยดีกว่านะ
เราคิดว่า ธรรมชาติ ,, สวยงามทุกที =)
มีโชว์นกด้วยอินทรีด้วยยยยยยยยยยยยยย
ตอนแรกเราตื่นเต้นมาก คิดว่าจะได้ลองให้มันยืนที่มือแล้วถ่ายรูป
คิดในใจว่าถ้าเสียงเงินก้ออยากจ่ายอยู่ แต่ที่ไหนได้ แค่โชว์ตัวเฉยๆ ,,
หว้าาาา
ถ้าสังเกตุ จะเห็นเหมือนอะไรสะท้อนแดดขึ้นมาแว้บๆ วับๆ
มันคือ "เหรียญ" !! ใช่ เหมือนที่เวลาเราไปวัด แล้วคนโยนเหรียญลงไปเพื่อเป็น ศิริมงคล
แต่อันนี้เราไม่รู้ว่าโยนไปเพื่อขอพร หรือ เพื่อความโชคดีเหมือนกันหรือเปล่า
อาจจะมีอะไรที่เป็นความเชื่อคล้ายๆกันก็ไม่รู้ ไกด์เก้ย ก้อไม่มีให้ถาม
แต่มาเที่ยวอะนะ กะ อีเหรียญสองเหรียญ "ดอลล่า" ของพี่ก็ปาไป 30 บาท ,,
เก็บไว้เห๊อะ ,, เนอะ ...
(มีเสียงแว้บมาจากก้นเบื้อลึกของจิตใจว่า .. เราเอามือเอื้อมไปเก็บสักกำสองกำดีมั๊ย ,,)
ชมป่าชมนกชมไม้ ถ่ายรูป ,,
ตามทางมันก็จะมีข้อมูลเบาๆ ไว้ให้ความรู้
เช่น สัตว์ที่พบเจอ ชนิดนกบ้าง ชนิดต้นไม้บ้าง
มันก็จะมี บางกลุ่มที่ต้องเล่นเกมส์ เหมือน แรลลี่บ้านเรา
คือ ถือกระดาษ มาแล้วก็มาหาคำตอบ โหยเสียดายอยากเล่นบ้าง,,
มันก็จะมีโซนนึง เป็นโซนที่แสดงให้เห็นถึง "พลังของน้ำ"
เค้าเอาหิน 3 ชนิดมาตั้งให้น้ำไหลผ่าน อันแรก ไหลผ่าน 15 ปี อันที่ 2, 25 ปี อันที่ 3, 50 ปี
เราว่าเกร๋ดีนะ เหมือนเป็นการวางแผนไว้แล้วล่วงหน้า แล้วมันก็เห็นได้ชัดว่า
" น้ำซัดหินทุกวัน หินยังกร่อน "
ผู้ปกครองที่ลากเด็กๆมาด้วย ก็อธิบายให้ฟังว่า ,, เนี่ย เพราะน้ำเลยนะ น้ำมีพลังมากกก
แล้วพอเดินผ่านช่วงนี้ เค้าก็จะมี เหมือนเป็นวงล้อ ให้เราหมุนเล่น แต่ว่าตามจริงเป็น การให้ความรู้
เกี่ยวกับการใช้น้ำ ว่าใช้น้ำแบบไหนถึงจะเรียกว่าประหยัด ,,
เกร๋ๆ และน่าสนใจ
เอาจริงๆ จุดประสงค์ไม่น่าจะทำให้ผู้ใหญ่นะ น่าจะเป็นแบบ ปลูกฝังเด็กน้อยมากกว่า
แต่ผู้ใหญ่บางทีก็ไปยืนหมุนกับเค้าม่างอ่านะ อิอิ
แล้วก็เดินลัดเลาะมาจนสุดทาง จะขึ้นไปอีกก้อไม่ได้ล้ะ
เค้าทำรั้วกั้นไว้หมดอ่ะ ทางเดินก็ปูให้เดินอย่างดี แหม๊ะ ,, อยากจะสัมผัสธรรมชาติมากกว่านี้จุง
อันนี้คือ จุดสูงสุด (ที่เค้าอนุญาต) มองลงไปก็จะเห็น อีสะพาน ที่มันโค้งอ้อมเขา
ในรูปอาจจะไม่สูงขนาดต้องตื่นเต้นนะ
แต่เห็นกับตาจิงๆแล้วมันก็น่าตื่นเต้นนะ ,,
หมดทางเดินแหล่วววววววว
แล้วก็ไปออกทางเข้า มีฉากให้ถ่ายรูปเล่นเยอะเหมือนกัน
เห็นตอนนี้กำลังฮิต Ice bucket ป้ะ ไหนลองมั๊งสิ๊,,
จบแล้ว สำหรับทริป Suspension bridge
เป็นทริปที่ไม่คาดฝันว่าจะได้เจอคนไปด้วยกันมาก
เอาจริงๆแล้วถ้าให้เดินคนเดียวคงไม่ใช้เวลาถึง 4 ชม.หรอก
แต่ว่า ไปเจอเพื่อนที่โน่น ผลัดกันถ่ายรูป เดินไปคุยไป เพลินมาก ทำให้ทางเดินมีสีสันเรย
ตอนแรกก้อคิดว่าจะไม่หนุก ไปไหนมาไหนคนเดียว
แต่กลัวไม่ได้เที่ยวก่อนจะกลับไทย ก็เรยมีเวลาก็อยากจะรีบไป
ดีใจที่ไปไหนก็เจอคนดีดีเสมอ
หลังจากจบทริปนี้ ตามจิงแล้วเราไปต่อกับเพื่อนคนจีนที่ีมาเที่ยว
พานางไป downtown พาไปกินข้าว
นางถามว่ามีอะไรอร่อย สำหรับ Vancouver มันเป็นอะไรที่ตอบยากมากนะ
เพราะที่นี่ อาหารหลากหลาย
เรารู้จักร้านหลายร้านที่อร่อย แต่มันต้องขึ้นกับเจ้าตัวด้วยว่าอยากกินอาหารแบบไหน
ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่ง อิตาลี่ แม๊กซิโก หรือ ชาติไหน
เราเลยพานางลงที่ถนน Robson ซึ่งเป็นถนนนึงใน downtown ซึ่งก็จะมีร้านอาหารให้เลือก
เดินไปเราก็แนะนำไป
สุดท้ายลงเอยที่ร้านอาหารญี่ปุ่น Kintaro ramen
เป็นร้านราเมงชื่อดัง ร้านนึงเลยของที่นี่
เราสองคนโชคดีมาก่อนเวลา ก่อนที่จะเกิดการต่อคิว
นางคงหิวมาก สั่งพิเศษ ไอเราก็อยากลองหมี่เย็นอยู่พอดี เพราะว่าหมี่เย็นนี่ จะมีแค่เฉพาะช่วงหน้าร้อน
อิ่มเปรมกันไป ,, =)
เสร็จแล้วนางบอกอยากไปดู China town, Yale Town และ Gastown แหม ,, เวลาประมาน ทุ่มนึงนี่
คงดูได้ไม่หมดนะ เราเลยบอกตรงนี่ใกล้ Gastown กับ China town เราพาไปได้
เดินกันไป เป็น ชม.ๆ พานางชมนั่นโน่นนี่
เอาจิงๆแล้ว บางสถานที่เราก้อเพิ่งเคยเห็นนะ 55555 ดีเหมือนกัน พานางเที่ยวครั้งนี้
นางเรยขอบคุณเราด้วย Mocha 1 แก้ว ,, =)
บางทีมันก็แปลกดี
นักท่องเที่ยวในคราบนักเรียนอย่างเรา นำนักท่องเที่ยวที่มาจากเมืองอื่นของแคนาดา เที่ยวได้
ดีใจที่เราน่าจะมีนิสัยคล้ายๆกัน ทำให้เราคุยกันถูกคอ ไปกันได้ไม่อึดอัดเรย
มันก็แปลกดี
ที่บางครั้งเราก็ไม่ได้วางแผนอะไรมากมาย แต่ก็มาเจอเรื่องดีดีน่าประทับใจ =)
จบแล้ว ทริปวันนี้ ,,
เป็นทริปที่ดีน่าจดจำทริปนึงเลย
ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้วันนี้เป็นวันดี อีกวันนึง ,, =)
21 Aug 2014
Vancouver, B.C., Canada
อิฉันก็อยากไปค่ะ มาอยู่ที่นี่ได้ปีแล้ว ยังไม่มีโอกาศได้ไปเยือน
ช่วงนี้ว่าง ไม่มีเรียน แต่ชวนใครไปก็ไม่มีใครไปด้วย
มีแต่คนไปมาแล้ว และไม่อยากไปอีก
โอเค๊ ,, ไปคนเดียวก็ได้ ไม่เป็นไรเนอะ =)
เริ่มจากหาข้อมูลก่อนว่าต้องไปยังไง
http://www.capbridge.com/
สรุปว่ามีรถ shuttle bus ไปฟรี ค๊าาาาาา ของฟรีเจ๊ชอบ
จุดยืนรอรถฟรี ,, |
รถออกทุก 15 นาที ที่ Canada place ซึ่งไปง่ายมากค่ะ
นั่งรถไฟฟ้าไปที่ water front แล้วเดินต่ออีก 2 blocks
Canada place ที่รอรถเจ๊ |
พอไปถึงประมาน 12.02 รถก้ออกแล้ว เลยต้องรออีกประมาน 15 นาที
รถมาแล้ววววว ได้ขึ้นล้ะ =)
ชาวต่างชาติเพียบเบย ,, |
ขึ้นรถไปถึงก็สังเกตุเห็น ผู้หญิงคนนึง มาคนเดียวเหมือนกัน
ไอเราก็คิดในใจว่า เออ ชวนเค้าไปเที่ยวด้วยกันดีกว่า มาคนเดียวเหมือนกัน
พอลงจากรถ ก็หานางไม่เจอ ก็เลยจะเดินไปซื้อตั๋ว ปรากฏว่า นางขอให้ถ่ายรูปให้
เย้เย้ งานนี้ได้เพื่อนล้ะ =)
เลยชวนนาง ไปเที่ยวด้วยกัน ,,
ตั๋วนี่มีหลายราคา ตามนี้
ผู้ใหญ่ ---------------------------------- $35.95
ผู้สูงอายุ 60+ -------------------------- $33.95
เด็กนักเรียน (มีบัตรนักเรียน) ----------- $29.95
วัยรุ่น (13-16) ------------------------- $22.95
เด็กน้อย (6-12) ----------------------- $12.00
ต่ำกว่า 6 ขวบ -------------------------- ฟรี
โชคดีที่เอาบัตรนักเรียนมา เรยลดราคาเหลือ $29.95 แต่ ! อยู่นี่จัดว่าเป็น ชีวิตติด tax ค่ะ
เพราะฉะนั้นรวมๆค่าเสียหายประมาน 32 เหรียญ
ทางเข้า ชำระค่าเสียหาย |
พอจ่ายเงินเสร็จสับ ก็เข้าไปกันเล้ย !
ก่อนเข้าไป เราก็หยิบ Passport ก่อนเรย
อันนี้ออกแนวเป็น แผนที่ด้วย แล้วก็มีช่องให้เรา stamp ตามจุดต่างๆ
สะสม stamp ให้ครบ แล้วเอาไปแลกใบ Certificate (ดูจริงจัง) เป็นใบแบบว่า เย้ ! ฉันทำสำเร็จล้ะ !
ใบนี้เลย |
โพสซะหน่อย จัดไป ดีจุง เจอเพื่อนร่วมเดินทาง =) |
หลังจากพ้นประตูมา ก็จะมีรูปปั้น หน้าตาแบบนี้อยู่เกลื่อนกลาดไปหมด
(หมายถึงรูปปั้นนะ ไม่ใช่คนเสื้อชมพูเคป่ะ)
จะหมาก้อไม่หมา จะคนก้อไม่คน |
รูปปั้นพวกนี้ เป็น 1 ในสัญลักษณ์ของคนที่นี่เค้าหล่ะ
เพราะว่าจริงๆแล้ว คน native หรือ คนพื้นเมืองที่นี่ คือ " ชนเผ่าอินเดียนแดง "
เค้าก็จะมีรูปปั้นที่ชนเผ่านับถือ หน้ามันปะหลาดๆ แปลกๆ ไปซะหมดอ่ะนะ
แล้วก็มีพวก ของเก่าๆ ตั้งโชว์ พร้อมกับคำบรรยายประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เดินเข้าไปก็เป็นจุดสำหรับเด็ก
เค้าก็จะมีเกมส์ให้เล่น มีชุดให้แต่งตัวเล่น แล้วก็มีให้ระบายสี อะไรทำนองนั้น
แล้วเราก็เห็นว่าเค้าทำเป็นกรอบรูป ฮืมม ,, เลยถ่ายเล่นซะเรย =)
แย่งเด็กมาใส่เล่น 5555 |
ตอนแรกกำลังจะเข้าไปถ่ายล้ะ เด็กสองคนนี้นั่งแหมะ ,, เอ๊ออออ ถ่ายพวกแกก่อนก้อด้ะ |
หว้าาา ,, เพื่อนถ่ายให้กรอบเบี้ยวๆเบย แต่ก้อยังดีกว่าไม่มีรูปหล่ะนะ =) |
นางพยายามเข้าเฟรมมาก มามามา จัดให้นางหน่อย =) |
บอกแล้วว่า ตัวปะหลาด .. เกลื่อนกลาด ... |
เดินไปเรื่อยๆ (พูดเหมือนไกล) ตามจิงใช้เวลาเดินแบบไม่ถ่ายรูปประมาน 3 นาที
แต่อันนี้ เพื่อนร่วมทางและอิชั้น ปาเข้าไปเกือบ 15 นาที
เหมือนจะไม่มีอะไร แต่เราสองคนก้อทำให้มันมีอะไร (โชคดีอ่ะเจอคนแนวเดียวกัน)
เย้เย้เย้ เราถึงที่หมายถึงเราแล้ว Suspension bridge ! สะพานข้ามเขา ,,
สะพานนี้ยาว 230 ฟุต สูงจากพื้ันดิน 450 ฟุต ข้ามแม่น้ำ Capilano ที่ North Vancouver, B.C., Canada (ละเอียดไปมั๊ย 55) |
โอ้ย รำคาญพวกมาเป็นคู่ .. ชิ๊ .. |
อันนี้ วิว ข้างทาง =) |
วิวอีกข้างของวิวข้างทาง .. เขียนให้ งง ทำไม 555 |
เห็นเค้า ฮิต จูงมือกันแล้วก็หันหลังกลับมาถ่าย คือไม่มีไง เรยเกาะราวสะพาน แล้วถ่ายมือ ,, ถือว่าชดเชยได้มั๊ย ? |
การเดินข้ามสะพาน คือมันก็ไม่ได้ยากหรือหวาดเสียวอะไรนะ
เพราะว่าจริงๆแล้วที่ไทยก็มี เพียงแต่ว่า มันเป็นการเดินๆหยุดๆ เพราะว่าคนหยุดถ่ายรูป
แล้วสะพานเหวี่ยงมากค่ะ เพราะว่า บางคนตั้งใจทำให้สะพานมันเหวี่ยงไรงี้
เค้าก็จะมีการประกาศว่า กรุณาอย่าตั้งใจเหวี่ยงสะพาน,,
ธรรมชาติสองข้างทางสวยกว่าในรูป (แน่นอน)
ถ้าเห็นแล้วอยากจะหลับตาเดิน (ทำได้ที่ไหนหล่ะ)
สูดอากาศบริสุทธิ์ ,, ฝืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ,, =)
ในความรู้สึกส่วนตัว ธรรมชาติที่ไหนก็มีพื้นฐานที่คล้ายๆกัน
สีเขียวของใบไม้ สีน้ำตาลของต้นไม้ กับสีฟ้าของท้องฟ้า และ สีขาวของเมฆ
ได้ยินเสียงน้ำไหลของน้ำตก เสียงนกร้อง และก็เสียงต้นไม้ไหว
สิ่งที่ต่างกันน่าจะเป็น ลักษณะต้นไม้ ต้นไม้ที่นี่เหมือนในหนังอ่ะ ทื่อๆ เหมือนต้นคริสมาสฯ
และก็น่าจะเป็น อากาศที่เย็นๆสบายๆ ลมพัดเบาๆ แดดจ้าทำให้ร่างเราอุ่นสู้กับอากาศเย็น
ไม่ร้อนอบอ้าว เหมือนตอนเราไปเที่ยวน้ำตกที่ไทย แล้วแบบ ร้อนจนอยากจะแช่น้ำตกข้างบนไวไว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ,, เราไม่ขอเปรียบเทียบว่าที่นี่ดีกว่า หรือที่ไทยดีกว่านะ
เราคิดว่า ธรรมชาติ ,, สวยงามทุกที =)
ป้ายบอกทาง ,, สุดท้ายแล้ว เจ๊ก้อไม่ค่อยสนใจหรอก เดินๆไปเหอะ 555 |
=) |
ทางเดิน เหมือนๆ น้ำตกในไทยหน่ะหล่ะ =) |
มีโชว์นกด้วยอินทรีด้วยยยยยยยยยยยยยย
ตอนแรกเราตื่นเต้นมาก คิดว่าจะได้ลองให้มันยืนที่มือแล้วถ่ายรูป
คิดในใจว่าถ้าเสียงเงินก้ออยากจ่ายอยู่ แต่ที่ไหนได้ แค่โชว์ตัวเฉยๆ ,,
หว้าาาา
ถ่ายตอนนางมองกล้องไม่ทัน เสียดาย TT |
มีที่ให้โพส ก้อถ่ายไป |
นางอันนี้ไง ชื่อแนนซี่ คนจีน นางมาเที่ยว แต่นางอยู่ที่ Montreal คืออีกเมืองของแคนดาดา แล้วนางมาเที่ยวที่ Vancouver |
ชอบรูปนี้ |
อันนี้เป็น ที่วัดส่วนสูงของต้นไม้ แต่ scale ในที่นี้ ทำเป็นอายุของต้นไม้แทนมาตรวัดทั่วไป
ต้นไม้นี่ .. กว่าจะโต ใช้เวลานานมากๆเรยเนอะ
ไปยืนวัดความสูงมาด้วย ตอนนี้เราเป็นต้นไม้ที่สูง 15 ขวบ =) |
เดินต่อไป เค้าบอกว่าเป็น Adventure คือ เค้าต่อทางเดินให้เราเดินขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ใหญ่
แล้วก็ต่อทางเดินเหมือนให้เราเดินข้ามต้นไม้แต่ละต้นไปทำนองนั้น ข้ามประมาน 5 -6 ต้นได้
ทางขึ้ิน |
พูดซะเวอร์ |
อันนี้บนต้นไม้ สาบานว่าถ่ายสิ่งของ .. 0,,0 จิงจิ๊ง |
ข้ามแบบนี้ไปประมาน 5- 6 ต้นไม้หย่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย |
เดินไปก็เจอแต่คนจีนวุ้ย ชอบเดินตัดหน้ากล้องแบบไม่มีมารยาท (Oops!)
ชมนกชมไม้บนต้นไม้ใหญ่ ไปเรื่อยๆ ก็ถึงทางลง จบจ้า (ไร้แล้วซึ่ง adventure ใดใด ...)
ลงมาก็มีฉากให้ถ่ายรูปปะปราย ,, จัดหน่อย ..
ชั้นมารอพี่ที่ท่าน้ำทุกวันเรยนะ ,, (มุกนี้อีกล้ะ) |
ต้นไม้ต้นนี้เค้าเรียก Grandma อายุ 1300 ขวบบบบบบบบบ ! 0..0! |
และแล้วในที่สุด นางสองคนก้อได้เดินวนครบ 1 รอบ จนทั่ว (จ่ายเงินแล้วเอาให้คุ้ม)
คือ ในแผนที่ดูเหมือนไกลโพ้น แต่เดินจริงๆ ใกล้มาก ทำแผนที่ได้เวอร์จริง
พอเดินในส่วนของ Suspension bridge หมดแล้ว ก็ไปอีกฝั่งนึงเรียกว่า " Cliff Walk "
แดดแรงเกิน มองไม่เห็นตัวหนังสือชื่อสะพานเบย,, |
มันก็คล้ายกับการเดินชมนกชมไม้ในป่าทั่วไปอ่าแหล่ะระ
แต่ highlight ตรงที่ มันจะมีทางเดินที่ทำยื่นออกมา เป็นครึ่งวงกลม จากเขา
ทำให้ดูว่ามันมีอะไรขึ้นมา คือตรงนี้ถ่ายรูปให้ดูยากมากว่า เนี่ย ชั้นเดินกลางอากาศนะ !
มันโค้งอ้อมเขา |
รุสึกคนเสื้อชมพูจะทำสะพานทรุดเพราะ นน. เกินหน่ะ =,,= |
คือระหว่างเดิน ก็เจอฝรั่งที่ไม่กล้าเดินอ่านะ เค้าบอกว่ากลัวความสูง
คือก็เห็นใจ ทางเดินแคบๆ แล้วมันก้อสูงจิง
เอาจิงๆ เจ้าตัวเองก้อแอบขาสั่น .. เบาๆ ..
เดินพ้นมาได้ ก็เป็นทางเดินธรรมดาที่ไต่เขาขึ้นไป
เป็นทางเดินสบายๆ (มาก) ถ้าเทียบกับทางเดินไต่เขาขึ้นน้ำตกบ้านเรา
เราว่าเค้าทำทางสบายไป ไม่รู้สิ ถึงแม้ทางเดินจะทำด้วยไม้ แต่เราก็ไม่รู้สึกว่า ธรรมชาติสักเท่าไหร่
แต่ก็อย่างว่างนะ เอกลักษณ์ใคร เอกลักษณ์มันเนอะ =)
ดุในรูปเหมือนไม่ค่อยสูง แต่มันสูงมากกกกกกกกกกกกกกก นะ ,, |
น้ำตกข้างหลัง ตามจริงสวยมาก แต่นางไม่ขึ้นกล้อง อยู่ในกล้องเรยเฉยๆ ,, |
ใครบอกน้องอ้วน แค่มีส่วน โค้งเว้าชัดเจนเอง ,, =,,= |
พอผ่านพ้นช่วงไต่เขา ก็เป็นพื้นที่ทางเดินธรรมดา ลัดเลาะธรรมชาติ
แต่เราไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องทำน้ำตกปลอม =,,=
อันนี้น้ำตกปลอม..บนเขา |
มันคือ "เหรียญ" !! ใช่ เหมือนที่เวลาเราไปวัด แล้วคนโยนเหรียญลงไปเพื่อเป็น ศิริมงคล
แต่อันนี้เราไม่รู้ว่าโยนไปเพื่อขอพร หรือ เพื่อความโชคดีเหมือนกันหรือเปล่า
อาจจะมีอะไรที่เป็นความเชื่อคล้ายๆกันก็ไม่รู้ ไกด์เก้ย ก้อไม่มีให้ถาม
แต่มาเที่ยวอะนะ กะ อีเหรียญสองเหรียญ "ดอลล่า" ของพี่ก็ปาไป 30 บาท ,,
เก็บไว้เห๊อะ ,, เนอะ ...
(มีเสียงแว้บมาจากก้นเบื้อลึกของจิตใจว่า .. เราเอามือเอื้อมไปเก็บสักกำสองกำดีมั๊ย ,,)
ชมป่าชมนกชมไม้ ถ่ายรูป ,,
บอกนางถ่ายรูปกัน .. เสียใจ มีรูปคู่นาง แต่หน้าชั้น แย่เกิน .. |
ว๊ากกกกกกกก โดนดูดดดดดดดดดดดด |
เช่น สัตว์ที่พบเจอ ชนิดนกบ้าง ชนิดต้นไม้บ้าง
มันก็จะมี บางกลุ่มที่ต้องเล่นเกมส์ เหมือน แรลลี่บ้านเรา
คือ ถือกระดาษ มาแล้วก็มาหาคำตอบ โหยเสียดายอยากเล่นบ้าง,,
มันก็จะมีโซนนึง เป็นโซนที่แสดงให้เห็นถึง "พลังของน้ำ"
เค้าเอาหิน 3 ชนิดมาตั้งให้น้ำไหลผ่าน อันแรก ไหลผ่าน 15 ปี อันที่ 2, 25 ปี อันที่ 3, 50 ปี
เราว่าเกร๋ดีนะ เหมือนเป็นการวางแผนไว้แล้วล่วงหน้า แล้วมันก็เห็นได้ชัดว่า
" น้ำซัดหินทุกวัน หินยังกร่อน "
ผู้ปกครองที่ลากเด็กๆมาด้วย ก็อธิบายให้ฟังว่า ,, เนี่ย เพราะน้ำเลยนะ น้ำมีพลังมากกก
แสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง |
อันนี้ 50 ปีแบบ ชัดๆ |
แล้วพอเดินผ่านช่วงนี้ เค้าก็จะมี เหมือนเป็นวงล้อ ให้เราหมุนเล่น แต่ว่าตามจริงเป็น การให้ความรู้
เกี่ยวกับการใช้น้ำ ว่าใช้น้ำแบบไหนถึงจะเรียกว่าประหยัด ,,
เกร๋ๆ และน่าสนใจ
เอาจริงๆ จุดประสงค์ไม่น่าจะทำให้ผู้ใหญ่นะ น่าจะเป็นแบบ ปลูกฝังเด็กน้อยมากกว่า
แต่ผู้ใหญ่บางทีก็ไปยืนหมุนกับเค้าม่างอ่านะ อิอิ
นี่ชั้นอยู่ที่ไหนน้ะ ,, ชั้นหลงป่าใช่มั๊ย *ทำเสียงนางเอก |
ขอฟรุ้งฟริ้งอีกรูปนะ |
แล้วก็เดินลัดเลาะมาจนสุดทาง จะขึ้นไปอีกก้อไม่ได้ล้ะ
เค้าทำรั้วกั้นไว้หมดอ่ะ ทางเดินก็ปูให้เดินอย่างดี แหม๊ะ ,, อยากจะสัมผัสธรรมชาติมากกว่านี้จุง
Panorama นิดนุง,, |
อันนี้คือ จุดสูงสุด (ที่เค้าอนุญาต) มองลงไปก็จะเห็น อีสะพาน ที่มันโค้งอ้อมเขา
ในรูปอาจจะไม่สูงขนาดต้องตื่นเต้นนะ
แต่เห็นกับตาจิงๆแล้วมันก็น่าตื่นเต้นนะ ,,
ผู้หญิงคนเดียวก้อเที่ยวได้ ,, =) |
เค้าบอกห้ามปีก้อนหิน,, |
เค้าบอกว่าห้ามปีนโว้ยยยยยยยยยย |
หมดทางเดินแหล่วววววววว
แล้วก็ไปออกทางเข้า มีฉากให้ถ่ายรูปเล่นเยอะเหมือนกัน
เห็นตอนนี้กำลังฮิต Ice bucket ป้ะ ไหนลองมั๊งสิ๊,,
เหมือนโดนทุ่มถังใส่มากกว่านะ 555 |
มาลองไอติม ลอง 2 รส signature รส maple กับ nanaimo |
จบแล้ว สำหรับทริป Suspension bridge
เป็นทริปที่ไม่คาดฝันว่าจะได้เจอคนไปด้วยกันมาก
เอาจริงๆแล้วถ้าให้เดินคนเดียวคงไม่ใช้เวลาถึง 4 ชม.หรอก
แต่ว่า ไปเจอเพื่อนที่โน่น ผลัดกันถ่ายรูป เดินไปคุยไป เพลินมาก ทำให้ทางเดินมีสีสันเรย
ตอนแรกก้อคิดว่าจะไม่หนุก ไปไหนมาไหนคนเดียว
แต่กลัวไม่ได้เที่ยวก่อนจะกลับไทย ก็เรยมีเวลาก็อยากจะรีบไป
ดีใจที่ไปไหนก็เจอคนดีดีเสมอ
หลังจากจบทริปนี้ ตามจิงแล้วเราไปต่อกับเพื่อนคนจีนที่ีมาเที่ยว
พานางไป downtown พาไปกินข้าว
นางถามว่ามีอะไรอร่อย สำหรับ Vancouver มันเป็นอะไรที่ตอบยากมากนะ
เพราะที่นี่ อาหารหลากหลาย
เรารู้จักร้านหลายร้านที่อร่อย แต่มันต้องขึ้นกับเจ้าตัวด้วยว่าอยากกินอาหารแบบไหน
ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่ง อิตาลี่ แม๊กซิโก หรือ ชาติไหน
เราเลยพานางลงที่ถนน Robson ซึ่งเป็นถนนนึงใน downtown ซึ่งก็จะมีร้านอาหารให้เลือก
เดินไปเราก็แนะนำไป
สุดท้ายลงเอยที่ร้านอาหารญี่ปุ่น Kintaro ramen
เป็นร้านราเมงชื่อดัง ร้านนึงเลยของที่นี่
เราสองคนโชคดีมาก่อนเวลา ก่อนที่จะเกิดการต่อคิว
นางคงหิวมาก สั่งพิเศษ ไอเราก็อยากลองหมี่เย็นอยู่พอดี เพราะว่าหมี่เย็นนี่ จะมีแค่เฉพาะช่วงหน้าร้อน
อิ่มเปรมกันไป ,, =)
หน้าตาไม่ค่อยดีเท่าคนทำ ,, (วร๊ายยยยยยย) กุ๊กน่ารักอ่ะ ! อาริกาโตตตตตต ! |
เสร็จแล้วนางบอกอยากไปดู China town, Yale Town และ Gastown แหม ,, เวลาประมาน ทุ่มนึงนี่
คงดูได้ไม่หมดนะ เราเลยบอกตรงนี่ใกล้ Gastown กับ China town เราพาไปได้
เดินกันไป เป็น ชม.ๆ พานางชมนั่นโน่นนี่
เอาจิงๆแล้ว บางสถานที่เราก้อเพิ่งเคยเห็นนะ 55555 ดีเหมือนกัน พานางเที่ยวครั้งนี้
นางเรยขอบคุณเราด้วย Mocha 1 แก้ว ,, =)
คนขายทำ รูป หัวใจโชว์ด้วย,, |
นักท่องเที่ยวในคราบนักเรียนอย่างเรา นำนักท่องเที่ยวที่มาจากเมืองอื่นของแคนาดา เที่ยวได้
ดีใจที่เราน่าจะมีนิสัยคล้ายๆกัน ทำให้เราคุยกันถูกคอ ไปกันได้ไม่อึดอัดเรย
มันก็แปลกดี
ที่บางครั้งเราก็ไม่ได้วางแผนอะไรมากมาย แต่ก็มาเจอเรื่องดีดีน่าประทับใจ =)
จบแล้ว ทริปวันนี้ ,,
เป็นทริปที่ดีน่าจดจำทริปนึงเลย
ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้วันนี้เป็นวันดี อีกวันนึง ,, =)
21 Aug 2014
Vancouver, B.C., Canada
Subscribe to:
Posts (Atom)